ลาวเวียง เป็นกลุ่มคนที่อพยพย้ายมาจากเวียงจันทน์ สปป.ลาว มาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทยตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรีและมีการโยกย้ายครั้งใหญ่ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ตั้งถิ่นฐานอย่างหนาแน่นบริเวณลุ่มน้ำภาคกลาง บริเวณจังหวัดสุพรรณบุรี นครปฐม เพชรบุรี และราชบุรี และภูมิภาคอื่นของประเทศไทย การดำรงชีพส่วนใหญ่ทำการเกษตร โดยเฉพาะการทำนา มีบางพื้นที่ที่มีการปลูกหอม และทอผ้า เป็นอาชีพเสริม อัตลักษณ์สำคัญของชาวลาวเวียง คือ ผ้าซิ่นตีนจก เป็นงานหัตกรรมที่มีความโดดเด่นด้านลวดลายและความหมาย จนเกิดการรวมกลุ่มเป็นวิสาหกิจชุมชนที่สืบทอดมรดกภูมิปัญญาจากบรรพบุรุษมาใช้ต่อยอดในการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ
ชื่อกลุ่มชาติพันธุ์ : ลาวเวียง
ชื่อเรียกตนเอง : ลาวเวียง, ลาวกลาง
ชื่อที่ผู้อื่นเรียก : ลาวเวียง, ลาวกลาง
ตระกูลภาษา : ไท
ตระกูลภาษาย่อย : ไต-ไต
ภาษาพูด : ลาวเวียง
ภาษาเขียน : สันสกฤต
“ลาวเวียง” เป็นชื่อกลุ่มชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง เนื่องจากชนกลุ่มนี้เป็นชาวลาวมีการย้ายถิ่นฐานจากเมืองเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว จึงเรียกตัวเองว่าลาวเวียง หรือลาวกลาง อันหมายถึงถิ่นที่จากมานั่นคือเมืองเวียงจันทน์ ขณะเดียวกันด้วยสำเสียงของชาวลาวเวียงมักจะลงท้ายด้วยคำว่า ตี้ จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งคือลาวตี้ และเมื่อลูกหลานชาวลาวเวียงอาศัยอยู่ในประเทศไทยจนเป็นส่วนหนึ่งของรับชาติ มีความเป็นชาวไทย ไม่ใช่ชาวลาวเช่นบรรพบุรุษรุ่นแรก จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งคือ ไทยเวียง บริบทของสังคมสมัยใหม่ ส่งผลให้การเรียกชื่อเปลี่ยนแปลงไปยึดโยงกับถิ่นที่อยู่ในปัจจุบันมากขึ้น จึงเกิดชื่อของพื้นที่ต่อท้ายชื่อเรียกตนเอง เช่น ลาวเวียงโคราช ลาวเวียงมหาสารคาม
ลาวเวียง เคลื่อนย้ายเข้ามาสู่ประเทศไทยตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี และมีการโยกย้ายครั้งใหญ่ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องจากการก่อกบฏของเจ้าอนุวงศ์ ใน พ.ศ. 2369 เมื่อการต่อสู้สิ้นสุดลงและกรุงเทพฯ ได้รับชัยชนะ จึงนำผู้คนจากเมืองเวียงจันทน์และหัวเมืองลาวใกล้เคียงกลับมามากที่สุด ชาวลาวที่ย้ายถิ่นเข้ามา ถูกส่งไปยังเมืองต่าง ๆ ในเขตหัวเมืองชั้นใน ในพื้นที่ที่มีลักษณะภูมิประเทศเหมือนกับบ้านเกิด โดยอยู่รวมกลุ่มกับชาวลาวที่มาอยู่ก่อน เพื่อง่ายต่อการควบคุมดูแล อีกทั้งหัวเมืองเหล่านี้ยังอยู่ไกลจากแหล่งที่อยู่อาศัยเดิม ทำให้การหลบหนีเป็นไปด้วยความยากลำบาก นอกจากนี้หัวเมืองชั้นในยังเป็นเมืองหน้าด่าน ดังนั้น เมื่อข้าศึกยกทัพมากลุ่มชนเหล่านี้จะเป็นกำลังสำคัญในการสกัดกั้นไม่ให้ข้าศึกเข้าถึงราชธานีได้อย่างรวดเร็ว พื้นที่หลักที่มีความหนาแน่นของกลุ่มลาวเวียง คือ บริเวณลุ่มน้ำภาคกลาง ได้แก่ ลุ่มน้ำท่าจีน ลุ่มน้ำแม่กลอง และลุ่มน้ำเพชรบุรี โดยกระจายอยู่ในจังหวัดสุพรรณบุรี นครปฐม เพชรบุรีและราชบุรี ต่อมามีชาวลาวบางส่วนเคลื่อนย้ายตามมาภายหลัง และตั้งถิ่นฐานกระจัดกระจายออกไปในจังหวัดกาญจนบุรี อุตรดิตถ์ อุทัยธานี นครราชสีมา ร้อยเอ็ด และมหาสารคาม
ชาวลาวเวียงมีอัตลักษณ์วัฒนธรรมของตนเองที่สำคัญคือความเชื่อในพุทธศาสนาและเรื่องเหนือธรรมชาติควบคู่กัน อาจพบทั้งสองความเชื่อปรากฏร่วมกันในบางประเพณีพิธีกรรม อัตลักษณ์สำคัญของชาวลาวเวียงคือ “ผ้าซิ่นตีนจก” นับเป็นงานหัตถกรรมที่มีความโดดเด่น ทั้งทักษะ ลวดลายและความหมายที่ได้ถักทอลงบนผืนผ้า ประกอบกับความนิยมใช้สีแดง ส่งผลให้ผ้าซิ่นมีความโดดเด่นและทรงคุณค่า และมีมูลค่าสูง ชุมชนลาวเวียงหลายชุมชนที่ยังคงมีองค์ความรู้เหล่านี้พยายามรักษาอัตลักษณ์โดยการจัดตั้งกลุ่มทอผ้า พัฒนาลวดลาย เทคนิค และทักษะการทอผ้าสืบต่อจากคนรุ่นเก่า รวมถึงการส่งเสริมให้เกิดกลุ่มวิสาหกิจชุมชนหลากหลายกลุ่มที่เข้ามาสืบทอดอัตลักษณ์ผ้าทอตีนจกของชาวลาวเวียง ซึ่งนอกจากสืบทอดคุรค่ามรดกภูมิปัญญาของบรพบุรุษแล้วยังสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจไปพร้อมกัน
ผู้เรียบเรียงข้อมูล
สมัยกรุงธนบุรีเป็นราชธานี อาณาจักรลาวแบ่งออกเป็น 3 อาณาจักรใหญ่ไม่ขึ้นแก่กัน ได้แก่ อาณาจักรหลวงพระบาง มีพระเจ้าสุริยวงศ์เป็นผู้ปกครอง อาณาจักรเวียงจันทน์ มีพระเจ้าศิริบุญสารเป็นผู้ปกครอง และอาณาจักรจำปาศักดิ์ มีพระเจ้าไชยกุมารเป็นผู้ปกครอง อาณาเขตของอาณาจักรทั้ง 3 ครอบคลุมทั้งฝั่งซ้ายและขวาของแม่น้ำโขง ในระยะนั้นอาณาจักรพม่ามีกำลังเข้มแข็งและขยายอาณาเขตมาปกครองเหนือเวียงจันทน์ ต่อมาเมื่ออาณาจักรเวียงจันทน์ทำสงครามกับอาณาจักรหลวงพระบางและได้กองกำลังสนับสนุนจากพม่า ทำให้อาณาจักรหลวงพระบางตกอยู่ภายใต้อำนาจของพม่าใน พ.ศ. 2314 ส่วนอาณาจักรจำปาศักดิ์มาขึ้นกับอาณาจักรธนบุรีใน พ.ศ. 2319 เนื่องจากพระยานางรองเจ้าเมืองนางรองที่ขึ้นกับเมืองนครราชสีมาก่อกบฏและไปขอขึ้นกับอาณาจักรจำปาศักดิ์ ทางเมืองนครราชสีมาจึงแจ้งข่าวมายังกรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีสั่งให้ยกกองทัพจากหัวเมืองทางเหนือ นำทัพโดยเจ้าพระยาสุรสีห์ และหัวเมืองภาคกลางนำทัพโดยเจ้าพระยาจักรี ยกทัพไปปราบกบฏ เมื่อกองทัพไทยได้รับชัยชนะ เมืองนางรอง เมืองจำปาศักดิ์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรจำปาศักดิ์ เมืองโขง เมืองอัตปือ ส่วนเขมรป่าดงได้แก่ เมืองสุรินทร์ สังขะ ขุขันธ์ มาขึ้นกับกรุงธนบุรีด้วย
ต่อมาเกิดปัญหาขึ้นภายในอาณาจักรของลาว เมื่อพระวออุปราชเมืองเวียงจันทน์มีความขัดแย้งกับเจ้าเมืองเวียงจันทน์ จึงออกมาสร้างเมืองใหม่ เจ้าเมืองเวียงจันทน์ส่งกองทัพไปปราบแต่กลับถูกตีแตกพ่าย แต่พระวอไม่ไว้ใจจึงขอความช่วยเหลือจากกองทัพพม่า แต่พม่าเลือกเข้าข้างเจ้าเมืองเวียงจันทน์ กองทัพพระวอพ่ายแพ้จึงหนีไปอาศัยอยู่เมืองจำปาศักดิ์ ต่อมาเกิดวิวาทกับเจ้าเมืองจำปาศักดิ์ จึงพาไพร่พลมาตั้งมั่นอยู่ดอนมดแดง แขวงอุบลราชธานีแล้วส่งบรรณาการมาขอพึ่งเจ้าเมืองธนบุรี เมื่อเจ้าเมืองเวียงจันทน์รู้ถึงการวิวาทระหว่างพระวอและเจ้าเมืองจำปาศักดิ์จึงส่งกองทัพนำโดยพระยาสุโพมาปราบพระวอและประหารชีวิต เนื่องจากขณะนั้นพระวอเปรียบเสมือนคนในอารักขาของกรุงธนบุรี พระเจ้ากรุงธนบุรีจึงตั้งเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกและเจ้าพระยาสุรสีห์ยกกองทัพมาทำศึกกับเมืองเวียงจันทน์ใน พ.ศ. 2321 จนได้รับชัยชนะและได้หัวเมืองลาวทั้งหมด (บังอร ปิยะพันธุ์, 2541, หน้า 21-23)
เมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรีเข้าเมืองเวียงจันทน์ได้แล้วจึงจับพระราชบุตร พระราชธิดาของพระเจ้าศิริบุญสาร ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์ เสนาข้าราชการน้อยใหญ่ กวาดเก็บทรัพย์สินข้าวของทั้งหมดที่มีค่าในพระคลังหลวง พร้อมด้วยพระแก้วมรกตและพระบาง รวมถึงครอบครัวลาวเวียงจันทน์ลงมายังกรุงธนบุรีด โดยโปรดฯ ให้ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่เมืองสระบุรี เมืองราชบุรี ตามหัวเมืองตะวันตกและเมืองจันทบุรี ส่วนเจ้านายเชื้อกษัตริย์โปรดฯ ให้พำนักอยู่ที่บางยี่ขัน (สิลา วีระวงส์, 2539, หน้า 151) โดยมีจุดประสงค์ของการกวาดต้อนชาวลาวเวียงเข้ามา ด้วยเหตุผลสองประการ
ประการแรก เมืองจันทน์มีเมืองเล็กเมืองน้อยมาขึ้นด้วยเป็นอันมาก ทำให้เวียงจันทน์มีทรัพยากรที่เอื้ออำนวยต่อการทำศึกสงคราม ทั้งช้างม้าและเสบียงอาหาร แต่เนื่องจากอยู่ไกลจากกรุงธนบุรี และยังมีภัยจากพม่าที่คุกคามเพื่อต้องการหัวเมืองลาว และจากเวียดนามที่ให้การสนับสนุนพระเจ้าศิริบุญสาร ดังนั้น พระเจ้ากรุงธนบุรีจึงมีนโยบายตัดกำลังนครเวียงจันทน์ให้อ่อนแอลง โดยกวดต้อนครัวลาวเวียงจันทน์มาหลายหมื่นคน เพื่อทำลายการสร้างเสบียงอาหารจากเรือกสวนไร่นา และป้องกันไม่ให้พระเจ้าศิริบุญสารกลับไปยึดเมืองเวียงจันทน์เป็นที่มั่นได้อีก
ประการที่สอง พระเจ้ากรุงธนบุรี ต้องการกำลังคนเพื่อทดแทนพลเมืองที่เสียชีวิต จากการสงครามกับพม่าในช่วง พ.ศ. 2310 ดังนั้น พลเมืองชาวลาวจำนวนมากจึงสร้างประโยชน์ทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจ ในทางการเมือง พระเจ้ากรุงธนบุรีสามารถส่งให้แม่ทัพนายกองเกณฑ์ไปเป็นกองกำลังในการป้องกันเมือง ทางด้านเศรษฐกิจ เชลยศึกนับเป็นแรงงานสำคัญในการเพาะปลูกเพิ่มผลผลิตทางด้านเกษตร ทั้งการทำนาและสร้างสาธารณูปโภคต่าง ๆ (บังอร ปิยะพันธุ์, 2541, หน้า 25-30)
การโยกย้ายของชาวลาวเวียงเข้ามาในอาณาจักรไทยเกิดขึ้นอีกครั้งในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ในครั้งนี้มีช่วงเวลาที่สำคัญสามช่วง คือ
ช่วงแรกในพ.ศ. 2325 ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงดำเนินนโยบายปกครองเวียงจันทน์เป็นเมืองประเทศราช จึงแต่งตังเจ้านันทเสน ราชบุตรองค์โตของพระเจ้าศิริบุญสารกลับไปครองนครเวียงจันทน์ และถวายพระนามใหม่ว่า “พระเจ้านันทเสนพรหมลาว” แล้วตั้งเจ้าอินทวงศ์เป็นอุปราช ส่วนเจ้าอนุวงศ์และเจ้าพรหมวงศ์ยังคงถวายตัวรับใช้ต่อ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงสนับสนุนให้เวียงจันทน์เป็นศูนย์กลางในการดูแลความสงบเรียบร้อย รวบรวมผู้คนและเครื่องราชบรรณาการ จากหัวเมืองต่าง ๆ ทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงมาถวาย (พรรษา สินสวัสดิ์, 2521, หน้า 61)
ต่อมาใน พ.ศ. 2335 ลาวตำเมืองแถนและลาวเมืองพวนเกิดแข็งข้อต่อนครเวียงจันทน์ พระเจ้านันทเสนจึงยกทัพไปปราบและกวาดต้อนครอบครัวลาวทรงดำและลาวพวนมาถวายที่กรุงเทพฯ (ศรีศักร วัลลิโภดม, 2538, หน้า 288) เพื่อเป็นเงื่อนไขในการขอครัวลาวเวียงจันทน์ที่ถูกกวาดต้อนไปตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรีกลับคืนมา แต่ได้รับการปฏิเสธ เป็นเหตุให้พระเจ้านันทเสนก่อการกบฏโดยสมคบกับพระบรมราชาเจ้าเมืองนครพนมติดต่อกับเมืองญวน พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกจึงสั่งถอดถอนพระเจ้านันทเสนออกจากการปกครองเมืองเวียงจันทน์ (สิลา วีระวงส์, 2539, หน้า 169) การที่พระเจ้านันทเสนให้ความสำคัญต่อครอบครัวของลาวเวียงที่เมืองสระบุรีและหาทางนำกลับคืนเมืองเวียงจันทน์ให้ได้ เป็นเพราะการกวาดต้อนครัวลาวเวียงคราวพ่ายแพ้แก่กองทัพกรุงธนบุรี มีผลสะเทือนต่อสถานะเมืองเวียงจันทน์ ถูกลดฐานะลงเป็นเพียงเมืองประเทศราชของกรุงธนบุรี และครัวลาวที่ถูกกวาดต้อนไปจำนวนหลายหมื่นเป็นการบ่อนทำลายเศรฐกิจของเมืองเวียงจันทน์ทางอ้อม เพราะทำให้เมืองเวียงจันทน์กลายเป็นเมืองร้าง ไร่นาไม่มีแรงงานหว่านไถเพาะปลูก จึงไม่สามารถเก็บส่วยอากรตลอดจนไม่มีแรงงานเต็มที่ นอกจากนี้ การที่ครัวลาวและเจ้านายในราชวงศ์ของเวียงจันทน์ถูกกวาดต้อนไปกรุงธนบุรีและเมืองสระบุรี ก่อให้เกิดการพลัดพรากในหมู่ญาติมิตร (บังอร ปิยะพันธุ์, 2541, หน้า 43)
ช่วงที่สองในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ความสัมพันธ์ระหว่างกรุงเทพฯ และเมืองเวียงจันทน์ยังคงดำเนินไปเช่นเดิม แต่ในช่วงเวลานี้เมืองเวียงจันทน์ปกครองโดยเจ้าอินทวงศ์ พระอนุชาของพระเจ้านันทเสน ขึ้นครองราชย์มีพระนามว่า “พระชัยเชษฐา” และให้เจ้าอนุวงศ์เป็นอุปราช การย้ายถิ่นของชาวลาวเวียงในช่วงรัชสมัยนี้ พบเพียงการโยกย้ายของครัวลาวนครพนมเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร และเจ้าเมืองเวียงจันทน์ส่งลาวเมืองภูครังลงมายังกรุงเทพฯ เท่านั้น (บังอร ปิยะพันธุ์, 2541, หน้า 47)
ช่วงที่สามตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นช่วงเวลาที่นครเวียงจันทน์ฟื้นตัวขึ้นเป็นบ้านเมืองได้อีกครั้งในฐานะเมืองประเทศราชของกรุงเทพฯ ทั้งยังมีไพร่พล เสบียงอาหาร ช้าง ม้า ซึ่งเป็นพาหนะสำคัญในการทำศึกสงคราม มีหัวเมืองลาวที่ติดต่อกับเขมรและญวนถึง 79 หัวเมือง ส่วนหัวเมืองลาวที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขงทั้งฝ่ายเหนือฝ่ายใต้มีถึง 80 หัวเมือง รวมหัวเมืองลาวที่อยู่ในความดูแลมีถึง 165 หัวเมือง ทำให้มีไพร่พลและเสบียงอาหารเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ความต้องการเอกราชของเวียงจันทน์และขนย้ายครอบครัวชาวลาวกลับสู่ถิ่นกำเนิด เป็นสิ่งที่เจ้าอนุวงศ์คิดและพยายามอยู่เสมอ กระทั่งใน พ.ศ. 2369 ได้ก่อกบฏไม่ยอมเป็นเมืองขึ้นต่อกรุงเทพฯ ซึ่งมีสาเหตุหลายประการ อย่างเช่น เจ้าอนุวงศ์ทูลขอแบ่งครอบครัวลาวเวียงจันทน์ที่กวาดต้อนลงมา ตั้งแต่ครั้งกรุงธนบุรี และถวายกราบบังคมทูลขอพระราชทานหม่อมละครเล็กไปเป็นครูละครในวังที่นครเวียงจันทน์ พร้อมด้วยเจ้าดวงคำซึ่งเป็นหลานปู่ของเจ้าอนุวงศ์ที่ถูกกวาดต้อนลงมาถวายตัวรับใช้ในสมัยกรุงธนบุรี ประกอบกับความทุกข์ยากลำบากของชาวเวียงจันทน์ที่ถูกเกณฑ์มาใช้แรงงานเช่น ใน พ.ศ. 2326 ที่แรงงานลาวเวียงจันทน์ 5,000 คน ต้องมาสร้างกำแพงเมืองและป้อมรอบพระนคร (เจ้าพระยาทิพากรวงศ์, 2506, หน้า 68-69) นอกจากนี้เจ้าอนุวงศ์ยังคิดว่าความขัดแย้งระหว่างไทยกับอังกฤษ เกี่ยวกับการติดต่อทำสนธิสัญญาทางไมตรีและขอขยายการค้า กับเรื่องกบฏไทรบุรีที่โดนไทยปราบจนต้องหนีไปอยู่ประเทศอังกฤษ จะประสบความล้มเหลวและนำมาสู่สงครามในที่สุด เพราะหากเกิดสงครามขึ้นจริงไทยคงไม่มีทรัพยากรพอเพียงที่จะรบกับลาวและอังกฤษไปพร้อมกัน (สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ, 2505, pp. 670-682) และจากเหตุการณ์ภายในที่พระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ (รัชกาลที่ 3 ) ได้เสวยราชย์แทนพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร (รัชกาลที่ 4 ) ยิ่งทำให้เจ้าอนุวงศ์เชื่อว่าประเทศไทยคงถึงคราวผลัดเปลี่ยนแผ่นดินใหม่และต้องเกิดความวุ่นวายขึ้นในราชบัลลังก์อย่างแน่นอน เจ้าอนุวงศ์จึงมีแผนการโจมตีพร้อมกัน 3 ด้านพร้อมกองทัพ 3 กอง กำลังส่วนแรกให้เจ้าราชบุตร (โย้) เจ้าเมืองจำปาศักดิ์ซึ่งเป็นบุตรของพระองค์ เขามาทางเขตอีสานใต้แถบอุบลราชธานี เขมราฐ ยโสธรและศรีษะเกษ กำลังอีกส่วนหนึ่งให้เจ้าอุปราชแห่งเวียงจันทน์ คือ เจ้าติสสะ ซึ่งเป็นอนุชาต่างมารดายกเข้ามาทางเขตอีสานกลางแถบกาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด สุวรรณภูมิ และอีสานใต้บางส่วน เช่นสุรินทร์ สังขะและขุขันธ์ ส่วนเจ้าอนุวงศ์คุมทัพหลวงตรงเข้าสู่นครราชสีมาและสระบุรี โดยส่งข่าวกับเจ้าเมืองกรมการต่าง ๆ ตามรายทางว่า ได้รับคำสั่งจากกรุงเทพฯ ให้เกณฑ์กองทัพเมืองเวียงจันทน์ไปช่วยทำศึกกับอังกฤษที่จะยกทัพเรือมาตีกรุงเทพฯ ทำให้กองทัพทั้ง 3 ของเจ้าอนุวงศ์ไม่ได้รับการต่อต้านจากหัวเมืองต่าง ๆ ตามรายทาง จึงสามารถยึดเมืองนครราชสีมา และหัวเมืองบริเวณที่ราบสูงฝั่งขวาแม่น้ำโขงได้ทั้งหมด กองทัพเวียงจันทน์กวาดต้อนครอบครัวชาวลาวกลับเวียงจันทน์เป็นจำนวนมาก ได้แก่ ครัวเมืองนครราชสีมา 18,000 คน ครัวเมืองชัยภูมิ ประมาณ 300 ครัว และครัวเมืองชนบท ประมาณ 200 ครัว ครัวเมืองสระบุรี ประมาณ 10,000 คนเศษ เมื่อความทราบทางกรุงเทพฯ จึงส่งกองทัพแบ่งออกเป็น 3 ทัพ ดังนี้ ทัพหลวง มีสมเด็จกรมพระราชวังบวรสถานมงคล เป็นแม่ทัพมุ่งสู่นครราชสีมา แล้วตีขึ้นเหนือไปทางชัยภูมิ ช่องสามหมอ ภูเวียง สู่หนองบัวลำภู กองทัพฝ่ายเหนือ นำทัพโดยเจ้าพระยาอภัยภูธร ยกทัพขึ้นไปตามลำน้ำป่าสักเข้าสู่เพชรบูรณ์ และกองทัพฝ่ายตะวันออก มีพระยาราชสุภาวดีเป็นแม่ทัพ ยกกองทัพมุ่งหน้าสู่ภาคอีสานทางช่องเรือแตก 4 ทัพ มีการเกณฑ์เขมรป่าดงจากสุรินทร์ สังขะ และเขมรจากพระตะบอง (เจ้าพระยาทิพากรวงศ์, 2506, หน้า 53-54) การโต้ตอบของกองทัพไทยทำให้สามารถยึดเอาดินแดนที่เสียไปทั้งหมดกลับคืนมาได้
ในช่วงพ.ศ. 2371 หลังการสิ้นพระชนม์ของเจ้าอนุวงศ์ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชประสงค์ให้ทำลายเมืองเวียงจันท์ไม่ให้กลับมาเป็นบ้านเมืองได้อีก จึงรับสั่งให้ตัดต้นไม้ลงให้หมดแล้วจุดไฟเผา คงเหลือเพียงวัดที่ไม่ถูกเผาไหม้ คือ วัดสีสะเกด และล้มเลิกนครเวียงจันทน์ไม่ให้เป็นบ้านเมืองอีกต่อไป (สิลา วีระวงส์, 2539, หน้า 173-174) และมีพระราชดำริให้สมเด็จกรมพระราชวังบวรสถานมงคลและพระยาสุภาวดี กวาดต้อนผู้คนจากเมืองเวียงจันทน์และหัวเมืองลาวใกล้เวียงจันทน์ลงมาให้มากที่สุด และให้หัวเมืองลาวทั้งหลายที่เป็นเมืองขึ้นของไทยเกลี้ยกล่อมและกวาดต้อนครัวลาวเวียงจันทน์ที่หลบหนีเข้ามา และจัดส่งมาพักตามเมืองใหญ่ ๆ ก่อนจัดส่งลงมาไว้ที่กรุงเทพฯ นอกจากครัวลาวเวียงจันทน์แล้ว ยังมีครัวลาวเมืองอื่น ๆ อีก ได้แก่ เมืองคำเกิด เมืองคำม่วน เมืองพร้าว เมืองหาว เมืองวาง เมืองกะตาก (ผาบัง) เมืองพิน เมืองนอง เมืองตะโปน เมืองมหาไชยกองแก้ว เมืองชุมพร เมืองพวง เมืองพะลาน เมืองพวน เมืองหนองหาร (สกลนคร)เมืองวังยาว เมืองปะขาว (ผ้าขาว) เมืองพันนา เมืองพันพร้าว และเมืองแป้ง (ข้าวแป้ง) เป็นต้น (สุวิทย์ ธีรศาศวัต, 2541, หน้า 104) เหตุการณ์ครั้งนี้นับได้ว่าส่งผลกระทบต่อจำนวนประชากรและการย้ายถิ่นฐานของประชากรลาวเมืองเวียงจันทน์และลาวเมืองอื่น ๆ เข้ามาในประเทศไทยมากที่สุด เกิดการก่อตั้งเป็นชุมชนชาวลาวเวียงในหัวเมืองชั้นในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น กระจายกันอยู่ตามเมืองต่าง ๆ ได้แก่ เมืองสระบุรี ราชบุรี สุพรรณบุรี เป็นต้น โดยชาวลาวจะอยู่กันเป็นกลุ่มก้อน นิยมเรียกหมู่บ้านว่า “บ้าน” เมืองสระบุรี มีชุมชนชาวลาวเวียงจันทน์อยู่ที่บ้านหนองหอย บ้านไก่เซา บ้านกระเบื้อง บ้านท่าทราย บ้านท่าเรือ บ้านสาวไห้ บริเวณพระพุทธบาท บ้านเขาปถวี เขาแก้ว บ้านอ้อย เมืองราชบุรี มีชุมชนชาวลาวที่บ้านลูกแก เมืองสุพรรณบุรี มีชุมชนลาวเวียงอยู่ที่บ้านหนองกระทุ่ม (บังอร ปิยะพันธุ์, 2541, หน้า 84-87) นอกจากนี้ยังมีชุมชนชาวลาวครัง ลาวเวียง ลาวหลวงพระบาง และลาวพวน ตั้งถิ่นฐานอยู่ในเมืองกาญจนบุรี ลพบุรี นครปฐม โดยกลุ่มชุมชนชาวลาวมักนิยมตั้งถิ่นฐานอยู่ที่เดิม แต่มีการขยายชุมชนออกเพราะประชากรเพิ่มมากขึ้น ดังเช่น กรณีของเมืองนครชัยศรี สมัยพระบาทสามเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อได้มีการปฏิรูปการปกครองส่วนท้องถิ่นโดยรวมหัวเมืองต่าง ๆ ที่อยู่ใกล้เคียงกันเป็นมณฑลเทศาภิบาลใน พ.ศ. 2435 และในพ.ศ. 2441 (ร.ศ. 116) พระยาสุนทรบุรีศรีพิไชยสงคราม ผู้ว่าราชการเมืองนครชัยศรีได้รายงานผลการตรวจราชการตามเขตแขวง และเสนอรายงานการตรวจราชการต่อพระยามหาเทพกระษัตรี สมุหเจ้ากรมพระตำรวจในซ้าย ข้าหลวงเทศาภิบาลสำเร็จราชการมณฑลนครชัยศรี เมื่อวันที่ 17 เมษายน ร.ศ. 116 ในรายงานฉบับดังกล่าว ทำให้ทราบว่า บ้านดอนรวกเป็นบ้านลาว มีกำนัน ผู้ใหญ่บ้านและนายกอง ปกครองราษฎรลาว และมีชุมชนลาวอยู่ที่บ้านรวก บ้านลำเหย บ้านหลวง บ้านหนองกระพี้ บ้านทุ่งผักกูด บ้านทุ่งผีหลวง บ้านโพรงมะเดื่อ หมู่บ้านลาวเหล่านี้ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กัน (บังอร ปิยะพันธุ์, 2541, หน้า 104)
ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 บ้านเมืองเผชิญภาวะสงครามและภาวะเศรษฐกิจถดถอย รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม พยายามรักษาเสถียรภาพของบ้านเมืองด้วยมาตรการต่าง ๆ รวมถึงการส่งเสริมความเป็นไทยซึ่งเป็นวัฒธรรมประจำชาติ ภาษาท้องถิ่นได้รับนโยบายชาตินิยม กลุ่มชาติพันธุ์ที่มีภาษาถิ่นเป็นของตนเองก็ได้รับผลกระทบไปด้วย ในช่วงนั้นพบว่ามีคนลาวในหลายพื้นที่รู้สึกว่าการพูดภาษาลาวไม่สอดคล้องกับวัฒนธรรมประจำชาติและความทันสมัย มีชาวลาวจำนวนไม่น้อยโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่พ่อหรือแม่แต่งงานกับคนไทยมาก่อนหน้านี้เริ่มเปลี่ยนมาพูดภาษาไทยและปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตให้สอดคล้องกับความเป็นไทย และผลกระทบที่เกิดแก่ชุมชนได้ตามมาอย่างต่อเนื่องภายหลัง พ.ศ. 2500 เมื่อระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมขยายตัวอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รัฐบาลพัฒนาความเจริญและสร้างทางหลวงจากเมืองใหญ่ไปสู่หมู่บ้านชนบท ส่งเสริมอุตสาหกรรมการเกษตร ชุมชนได้รับความเจริญและเกิดการขยายตัว มีการขยายหมู่บ้านและแยกบ้านไปตามทางหลวงหรือเขตที่มีความเจริญ นับเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในหลายจังหวัด ทั้งสระบุรี ลพบุรี สุพรรณบุรี ราชบุรี เพชรบุรี ฯลฯ ในขณะเดียวกันวิถีชีวิตค่านิยมและประเพณีก็ถูกปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับความเจริญที่ขยายตัวเข้ามาในชุมชน (วรรณพร บุญญาสถิตย์ และคณะ, 2559, หน้า 23)
ผู้เรียบเรียงข้อมูล
ลาวเวียง เป็นชื่อเรียกกลุ่มชนที่มีการย้ายถิ่นฐานจากเมืองเวียงจันทน์ เข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น จำแนกได้เป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกอพยพเข้ามาเอง ตั้งถิ่นฐานอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กลุ่มที่สองถูกกวาดต้อนเข้ามาในฐานะเชลยศึก กลุ่มหลังนี้ถูกส่งไปอยู่บริเวณภาคกลางของประเทศ หรืออดีตหัวเมืองชั้นในต่าง ๆ ได้แก่ ลพบุรี สุพรรณบุรี สระบุรี อยุธยา ราชบุรี นครปฐม มีการกำหนดให้อยู่กันเป็นกลุ่มเฉพาะของเชื้อชาติ โดยตั้งสลับไปกับหมู่บ้านของคนไทย ทั้งนี้การเลือกพื้นที่มักให้มีลักษณะใกล้เคียงกับถิ่นฐานเดิม อย่างไรก็ตาม การตั้งถิ่นฐานของชาวลาวเวียงได้ถูกกำหนดให้ตั้งเป็นหลักแหล่งไม่โยกย้ายไปที่อื่น เพื่อประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจ การปกครอง และที่สำคัญคือป้องกันการหนีกลับ เนื่องจากเมืองเหล่านี้อยู่ไกลจากบ้านเมืองลาว และเป็นหน้าด่านป้องกันข้าศึกจึงมีผลต่อการสร้างความมั่นคงโดยรวมของไทย แต่เมื่อประชากรของชาวลาวเวียงเพิ่มมากขึ้น ที่ทำกินไม่พอเพียง ชาวลาวเวียงจึงจำเป็นต้องขยายชุมชนออกไปในพื้นที่ใกล้เคียง การขยายถิ่นเพื่อแสวงหาที่ทำกินใหม่เพิ่มเติมเริ่มทำได้คล่องตัวในปี พ.ศ. 2417 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อทรงโปรดให้ยกเลิกระบบไพร่ ทำให้ชาวลาวเวียงมีอิสระในการตั้งบ้านเรือนและทำมาหากิน
ชาวลาวเวียงตั้งถิ่นฐานในเขตพื้นที่ภาคกลางมายาวนานกว่า 200 ปี เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใช้ภาษาลาวในการสื่อสารภายในกลุ่มญาติและเพื่อนพ้อง และประกอบอาชีพทำนาเป็นหลัก จนสังคมเกิดการพัฒนาชาวลาวเวียงจึงต้องปรับตัวตามไปด้วย จากอาชีพทำนาผันเปลี่ยนมาเป็นอาชีพรับจ้าง รับราชการ ค้าขาย เกิดการปรับตัวของชาวลาวเวียง แบ่งเป็น
การปรับตัวเนื่องจากปัจจัยภายใน
ยังไม่สามารถเห็นได้เด่นชัดนัก เนื่องจากชาวลาวเวียงส่วนใหญ่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในพื้นที่ลุ่มน้ำภาคกลาง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เริ่มกลายเป็นชุมชนเมือง ใกล้ศูนย์กลางความเจริญทางวัฒนธรรมไทยและวัฒนธรรมสากลที่เข้ามามีบบทบาทในสังคม อย่างไรก็ตามลักษณะเด่นของกลุ่มชนคือ การไม่นิยมขยายตัวออกไปห่างไกล พอใจขยายตัวออกไปรอบ ๆ พื้นที่เดิม ส่งผลให้ลักษณะสังคมและกิจกรรมต่าง ๆ ยังคงไว้ได้บางส่วนและมีความพอใจในความเป็นลาวเวียง
การปรับตัวจากปัจจัยภายนอก
ประเด็นแรก การเปลี่ยนแปลงทางนิเวศของลาวเวียงภาคกลาง ส่วนใหญ่เป็นผลจากการพัฒนาของภาครัฐ เพราะอาชีพดั้งเดิม คือ การทำนา ทำไร่ ทำสวน และเลี้ยงสัตว์ จนกระทั่งเกิดการพัฒนาสาธารณูปโภคหลักของรัฐ คือ การตัดถนนเพชรเกษมหรือทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4 ช่วงประมาณ พ.ศ. 2493 ทำให้ชุมชนลาวเวียงมีบทบาทมากขึ้นทางการค้าขายและการคมนาคม ทางหลวงแผ่นดินกลายเป็นอุปสรรคต่อการทำนาในพื้นที่ที่ถูกถนนตัดผ่าน เพราะส่งผลต่อวัวควายซึ่งเป็นแรงงานหลัก และถนนยังกลายเป็นคันกันน้ำขนาดใหญ่กลายเป็นอุปสรรคต่อการทำนา ทำให้การทำนาลดลง แม้ว่าจะมีโครงการจัดการน้ำชลประทานของกรมชลประทานมาเสริมใน พ.ศ. 2517 ก็ยังไม่สามารถกระตุ้นการทำนาให้เกิดขึ้นได้
ประเด็นที่สอง การเปลี่ยนแปลงของชาวลาวเวียงในลุ่มน้ำภาคกลาง โดยเฉพาะลาวเวียงในจังหวัดราชบุรี คือ นโยบายการพัฒนาประเทศอุตสาหกรรมใหม่ ในยุคนายกรัฐมนตรีพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ (พ.ศ. 2531-2534) โดยเฉพาะในช่วงภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่แตก (พ.ศ. 2532 - 2533) มีนายทุนมากว้านซื้อที่ดินในตำบลล้านเลือกและตำบลใกล้เคียง ราคาที่ดินขยับตัวสูงขึ้น ชาวบ้านส่วนใหญ่จึงเทขายที่ดินให้แก่นายทุน มีเพียงชาวบ้านส่วนน้อยที่ยังเก็บที่นาเอาไว้ ซึ่งที่นาบางส่วนที่เก็บไว้บ้างก็ทิ้งว่าง บ้างก็ให้เช่าทำนา
เมื่อการทำนาน้อยลง และที่ดินถูกเปลี่ยน อาชีพทางการเกษตรเปลี่ยนแปลงจากการทำนาเป็นการปลูกข้าวโพดพันธุ์พื้นเมือง และเลี้ยงสัตว์ประเภทโคนม สุกรและไก่ และเกิดอาชีพใหม่คือ รับจ้างทั่วไป นอกจากนี้ยังมีอาชีพรอง คือ รับราชการ เป็นลูกจ้างตามโรงงานอุตสาหกรรม หรือประกอบธุรกิจส่วนตัว
การพัฒนาอุตสาหกรรมและการสาธารณูโภคเพื่อการคมนาคมขนส่งของภาคอุตสาหกรรมได้ส่งผลเป็นลูกโซ่ต่อระบบนิเวศ การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตจากเกษตรกรเข้าสู่ภาคบริการและการค้า ส่งผลย้อนกลับไปยัง การปรับเปลี่ยนผังขององค์ประกอบผังชุมชน และหมู่บ้านเพื่อสนองความต้องการของกิจกรรมและการใช้สอยใหม่ ดังเช่น พื้นที่บ้านเลือก อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี
เมื่อลักษณะของสภาพแวดล้อมเกิดการเปลี่ยนแปลง ชาวลาวเวียงส่วนใหญ่เลิกทำนา ทำให้ความเชื่อและพิธีกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับวัฒนธรรมข้าวจางหายไป ประกอบกับเงื่อนไขของสภาพแวดล้อมและสังคมที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทำให้ประเพณีบางอย่างแปรเปลี่ยนในขณะที่บางอย่างสูญหายไป เช่น ประเพณีการเกิด การตายแบบดั้งเดิมจากหายไปจนหมดสิ้น แต่ยังมีประเพณีเก่าแก่และยังคงได้รับการสืบทอดอยู่ เช่น บุญข้าวจี่ สงกรานต์ สารทลาว และออกพรรษา ทางด้านภาษาพูดของชาวลาวเวียงในปัจจุบัน มีการสื่อสารกันเฉพาะในครอบครัวและกลุ่มผู้สูงวัย
ประเด็นที่สาม การเปลี่ยนแปลงของเรือนและสภาพแวดล้อม มีการเปลี่ยนแปลงรูปทรงภายนอกตามกาลเวลา แต่ลักษณะทางสถาปัตยกรรมยังคงสืบทอดต่อกันมา ซึ่งหากนำไปเทียบกับบ้านเรือนในเขตพระนครหลวงเวียงจันทน์ ซึ่งเป็นเขตเมืองที่เจริญมากของ สปป.ลาว เรือนดั้งเดิมสูญหายไปเกือบหมดสิ้น กลายเป็นรูปเรือนสมัยใหม่แบบเรือนบังกะโล พบเพียงที่บ้านหาดทรายฟอง และบ้านดอนนูนที่ทางรัฐบาลลาวเก็บพื้นที่ไว้เป็นการอนุรักษ์เกษตรกรรม ทำให้เรือนพื้นถิ่นที่ยังก่อสร้างด้วยไม้ และท่วงทีของผังเรือนยังคงเค้าโครงของเรือนเวียงจันทน์ดั้งเดิม สำหรับเรือนลาวเวียงในประเทศไทยมีความเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องและแตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น โดยพบว่าเรือนที่มีอายุเกิน 100 ปีส่วนใหญ่เป็นหลังคาจั่วแฝด ส่วนเรือนอายุต่ำกว่า 60 ปี พบความหลากหลายในรูปทรงและรายละเอียดของอาคาร ผังเรือนของเรือนเก่าเกิน 100 ปี มีความคล้ายคลึงกับเรือนไทยภาคกลาง ในขณะที่ผังเรือนกลุ่มอายุน้อย แม้มีการปรับเปลี่ยนแต่ยังคงมีการรักษาแบบแผนดั้งเดิมของชุมชน และมีบางองค์ประกอบเช่น หลังคาจั่วแฝดที่มีการลดหลั่นโครงสร้าง ระเบียงคลุมด้วยหลังคาปีกนกเอียงด้านหน้าอาคาร และหิ้งพระซึ่งสอดคล้องกับเรือนพื้นถิ่นในเขตพระนครหลวงเวียงจันทน์ อย่างไรก็บางองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมที่สืบทอดมาจากเวียงจันทน์มีแนวโน้มว่าจะเลือนหายไปในอนาคต (อรศิริ ปาณินท์, 2554, หน้า 212-215)
พื้นที่หลักที่มีความหนาแน่นของกลุ่มลาวเวียง คือ บริเวณลุ่มน้ำภาคกลาง ได้แก่ ลุ่มน้ำท่าจีน ลุ่มน้ำแม่กลอง และลุ่มน้ำเพชรบุรี โดยกระจายอยู่ในจังหวัดสุพรรณบุรี นครปฐม เพชรบุรีและราชบุรี
บริเวณลุ่มน้ำท่าจีน ในจังหวัดสุพรรณบุรี พบชาวลาวเวียงตั้งถิ่นฐานแถบตำบลพิหารแดง อำเภอเมือง บ้านขาม ตำบลพลับพลาชัย บ้านจร้าเก่า ตำบลบ้านโข้ง อำเภออู่ทอง จังหวัดนครปฐม บริเวณวัดคูเวียง ตำบลสัมปทาน อำเภอนครชัยศรี
บริเวณลุ่มน้ำแม่กลอง จังหวัดราชบุรี พบชาวลาวเวียงตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณตำบลเขาแร้ง อำเภอเมือง ตำบลบ้านฆ้อง ตำบลบ้านสิงห์ ตำบลบ้านเลือก ตำบลดอนทราย อำเภอโพธาราม ตำบลกรับใหญ่ ตำบลหนองกบ ตำบลปากแรด ตำบลหนองอ้อ ตำบลท่าผา อำเภอบ้านโป่ง ตำบลจอมบึง ตำบลปากช่อง อำเภอจอมบึง
บริเวณลุ่มน้ำเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี ชาวลาวเวียงตั้งถิ่นฐานบริเวณตำบลสระพัง อำเภอเขาย้อย (วันดี พินิจวรสิน, 2555, หน้า 97)
นอกจากนี้ยังพบว่าชุมชนลาวเวียงตั้งบ้านเรือนกระจายอยูอีกหลายแห่งในภาคกลาง ภาคเหนือและภาคตะวันตก เช่น เช่น บ้านอรัญญิกในจังหวัดอยุธยา ในอำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี ตำบลทัพหลวง อำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี อำเภอพนมทวน, อำเภอบ่อพลอย และอำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี อำเภอพนมสารคาม อำเภอสนามชัยเขต จังหวัดฉะเชิงเทรา (วลัยลักษณ์ ทรงศิริ 2559)
ผู้เรียบเรียงข้อมูล
การดำรงชีพ
อาชีพหลักของชาวลาวเวียงแต่ดั้งเดิม คือ การทำเกษตรแบบหาอยู่หากินเพื่อยังชีพ มีรูปแบบลักษณะความผูกพันอยู่กับการเกษตรภายในครัวเรือนและชุมชนเป็นหลัก
ได้แก่ การทำนาปลูกข้าว ปลูกพืชไร่บางชนิด เช่น ฝ้าย พริก ข้าวโพด ฯลฯ รวมถึงการปลูกพืชยืนต้นจำพวกไม้ผล เช่น ขนุน กล้วย มะพร้าว เป็นต้น กระบวนการสร้างผลผลิตใช้แรงงานในครัวเรือนและชุมชนเป็นหลัก จะนำออกไปแลกเปลี่ยนหรือขายให้แก่ชุมชนอื่น เพื่อซื้อหรือแลกเปลี่ยนเป็นเครื่องอุปโภคบริโภคที่ผลิตไม่ได้ภายในชุมชน เช่น เกลือ เคียว มีด ถ้วยชาม ผลผลิตจากการเกษตรโดยเฉพาะข้าว ถือว่าเป็นพืชเศรษฐกิจที่สามารถผลิตและสร้างรายได้จากการซื้อหาแลกเปลี่ยนให้กับครัวเรือนและชุมชนที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก (กิตติภัต นันท์ธนะวานิช, 2545, หน้า 133)
ชุมชนลาวเวียงมีลักษณะเป็นชุมชนเกษตรกรรมที่มีผลผลิตหลัก คือ “ข้าว” ซึ่งการเพาะปลูกต้องอาศัยน้ำฝนจากธรรมชาติปีละหนึ่งครั้งเท่านั้น หากปีใดปริมาณน้ำฝนดีการเพาะปลูกข้าวจะได้ผลผลิตดีตามไปด้วย แต่หากปีใดฝนแล้งทิ้งช่วงหรือน้ำท่วมผลผลิตที่ได้จะค่อนข้างต่ำ การผลิตข้าวจึงเป็นการผลิตที่ขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของช่วงฤดูกาลที่อิงไปกับเงื่อนไขทางธรรมชาติ ตั้งแต่การเลือกพื้นที่เพาะปลูกไปจนถึงกระทั่งการเก็บเกี่ยว และนำผลผลิตเข้าเก็บสำหรับบริโภคของครัวเรือนและชุมชน แต่ละขั้นตอนของกระบวนการผลิตล้วนมีพิธีกรรมทางการเกษตรสอดแทรกอยู่ ถือเป็นความเชื่ออย่างหนึ่งที่สร้างความมั่นใจในการได้ผลผลิตที่อุดมสมบูรณ์ เพียงพอแก่การยังชีพของสมาชิกในครัวเรือนและชุมชน สามารถจำแนกกระบวนการผลิตข้าวตามสภาพความเหมาะสมของพื้นที่เพาะปลูกได้ 3 วิธี ดังนี้
ข้าวไร่ เป็นวิธีการเพาะปลูกข้าวนาสภาพของไร่ ในพื้นที่ที่น้ำไม่ขัง เพาะปลูกได้ทั้งพื้นที่ราบและพื้นที่ดอน ข้าวไร่อาศัยเพียงน้ำค้างน้ำฝน
ข้าวนาดำ เป็นวิธีการเพาะปลูกข้าวโดยอาศัยการเพาะเมล็ดพันธุ์ให้งอกและเติบโตในพื้นที่หนึ่งก่อนแล้วจึงย้ายไปปลูกในอีกพื้นที่หนึ่ง ทำให้สามารถกำหนดระยะห่างของการเพาะปลูกข้าวและควบคุมวัชพืชได้อย่างเหมาะสม
ข้าวนาหว่าน เป็นวิธีการเพาะปลูกข้าวที่ต้องอาศัยสภาพพื้นที่เพาะปลูกเป็นที่ราบน้ำท่วมถึงในฤดูฝนเป็นประจำ เมื่อถึงคราวเก็บเกี่ยวชาวลาวเวียงจะอาศัยแรงงานในครัวเรือนเป็นหลัก แต่หากมีไม่เพียงพอจำต้องหาแรงงานในชุมชนเข้ามาช่วย โดยมากจะมีการระดมแรงงานมาช่วยกันใน 2 รูปแบบ คือ เอามื้อเอาแรงแบบลงแรง เป็นรูปแบบของการเอามื้อเอาแรงตามปริมาณของงานที่ทำได้ และ เอามื้อเอาแรงแบบขอแรง เป็นรูปแบบของการระดมแรงงานมาช่วยกันทำงานจนกว่าจะเสร็จ (กิตติภัต นันท์ธนะวานิช, 2545, หน้า 154-155) เมื่อเก็บเกี่ยวข้าวแล้วเสร็จ ชาวลาวเวียงจะนำข้าวมากองรวมไว้ในลานเดียวกัน แล้วแต่ละบ้านจะผลัดเปลี่ยนกันนวด ตกลงวันร่วมกันแล้วจึงทยอยช่วยกันที่ละบ้านไปจนครบทุกหลังคาเรือน สมัยก่อนบ้านแต่ละหลังจะเก็บข้าวไว้ในยุ้งของตน เพื่อเก็บไว้กินตลอดปี หากปีใดได้ข้าวใหม่จำนวนมาก ก็แบ่งออกมามาขาย
เมื่อสภาพแวดล้อมทางสังคมและเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงไป วิถีของชาวลาวเวียงก็ปรับเปลี่ยนตามไปด้วย เห็นได้จากปัจจุบัน เกิดอาชีพนอกภาคเกษตรกรรม เช่น การรับราชการ ชาวลาวเวียงเริ่มเห็นความสำคัญของการศึกษา จึงพยายามส่งเสียบุตรหลานให้ได้รับการศึกษาสูงขึ้นเพื่อประกอบอาชีพรับราชการ เพราะอาชีพดังกล่าวสามารถสร้างหลักประกันและความมั่นคงให้กับชีวิต อีกทั้งยังยกฐานะทางสังคมให้กับครอบครัวอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีอาชีพค้าขาย ทั้งสินค้าอุปโภคบริโภคและเครื่องใช้ในครัวเรือน ส่วนการเกษตรก็ขยายเป็นการเกษตรเพื่อการค้าไม่ใช่เพื่อการบริโภคอย่างแต่ก่อน นอกจากนี้ยังมีพืชชนิดอื่น ๆ ที่เพาะปลูกเพิ่มมากขึ้น เช่น ถั่วเหลือง พริก อ้อย ส้มโอ กล้วย รวมถึงการเลี้ยงสัตว์เพื่อจำหน่าย เช่น ไก่ โคนม เป็นต้น การเปลี่ยนแปลงวิถีดำเนินชีวิตแบบดั้งเดิมมาสู่รูปแบบใหม่ ช่วยส่งเสริมผลผลิตจากการเกษตรให้มีมากและส่งเสริมอาชีพให้มีหลากหลายในกลุ่มชาวลาวเวียงมากยิ่งขึ้น
โครงสร้างทางสังคม
สถาบันครอบครัวนับเป็นรากฐานสำคัญและเก่าแก่ที่สุดของมนุษย์ แต่เดิมครอบครัวถือเป็นศูนย์รวมของกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งการปกครอง พิธีกรรมทางศาสนา การพักผ่อนหย่อนใจ และเศรษฐกิจ นอกจากนี้ครอบครัวยังทำหน้าที่ขัดเกลาสมาชิกในสังคมให้เกิดการเรียนรู้ ผ่านการถ่ายทอดประสบการณ์ บุคลิกภาพ ตลอดจนแนวความคิดต่าง ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการพื้นฐานที่จำเป็นในการดำรงชีวิตในสังคม รูปแบบครอบครัวของชาวลาวเวียงเริ่มจากครอบครัวเดี่ยวไปสู่ครอบครัวขยาย จากครอบครัวที่มีพ่อ แม่ ลูก อาศัยอยู่ร่วมกัน พ่อทำหน้าที่เป็นหัวหน้าครอบครัว มีอำนาจหน้าที่ในการตัดสินใจสูงสุด โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับเศรษฐกิจการยังชีพของทุกคนในครอบครัว ส่วนแม่มีหน้าที่หลักคือ รับผิดชอบภายในครัวเรือน ตั้งแต่เลี้ยงดูลูก ๆ หุงหาอาหาร ทำความสะอาดบ้าน นอกจากนี้ยังคอยช่วยแบ่งเบาภาระทางเศรษฐกิจ เช่นการทำนา เป็นต้น ลูก ๆ มีหน้าที่ปฏิบัติตามคำสั่งของพ่อแม่ โดยชาวลาวเวียงมักมีการแบ่งหน้าที่อย่างชัดเจนระหว่างลูกสาวและลูกชาย โดยลูกสาวต้องช่วยแม่ในการหุงหาอาหาร ทำความสะอาดเรือน โดยมีแม่เป็นผู้อบรมสอนสั่งตั้งแต่เด็ก ๆ จึงทำให้แม่และลูกสาวมีความสนิทสนมกัน ส่วนลูกชายมีหน้าที่หลักในการช่วยเหลืองานของพ่อในส่วนการดูแลไร่นา ตักน้ำผ่าฟืน เลี้ยงดูวัวควาย รวมทั้งหาปู ปลา กบ เขียดเพื่อใช้ในการประกอบอาหาร การแบ่งหน้าที่อย่างเป็นระบบทำให้สมาชิกแต่ละคนเกิดความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ช่วยเสริมสร้างความอบอุ่นและผูกพันให้เกิดมากยิ่งขึ้น
เมื่อลูก ๆ เจริญเติบโตและแต่งงาน ตามประเพณีของชาวลาวเวียง หากลูกสาวคนโตแต่งงานต้องพาลูกเขยเข้ามาอยู่ในครอบครัวของฝ่ายหญิงตามอุดมคติที่เรียกว่า “มาตาลัย” ซึ่งเป็นรูปแบบการตั้งถิ่นฐานทำมาหากินหลังการแต่งงานกับครอบครัวฝ่ายหญิง โดยลูกเขยจะเข้ามาทำหน้าที่เป็นแรงงานหลัก รับผิดชอบทำงานหนักในไร่นาแทนพ่อตา โดยผลผลิตส่วนใหญ่ยังคงเป็นของพ่อตาและแม่ยาย นอกจากนี้ลูกเขยยังต้องเคารพ เชื่อฟัง และปฏิบัติตามสั่งของพ่อตาแม่ยายอีกด้วย เมื่อมีการแต่งเขยเข้าบ้านครอบครัวของชาวลาวเวียงจึงเกิดเป็นครอบครัวขยายขึ้น หากลูกสาวคนถัดไปแต่งงานและนำสามีเข้ามาอยู่ในครอบครัว ลูกสาวคนโตที่มีครอบครัวอยู่ก่อน จะต้องแยกออกมาปลูกสร้างเรือนใหม่ โดยนิยมสร้างเรือนอยู่ในบริเวณที่ดินของพ่อตาแม่ยาย อย่างไรก็ตาม ครอบครัวใหม่ที่เพิ่งตั้งขึ้นลูกเขยยังต้องรับหน้าที่เป็นแรงงานหลักในการสร้างผลผลิตให้กับพ่อตาแม่ยายและต้องเป็นหัวหน้าครอบครัวในการสร้างฐานะและเลี้ยงดูครอบครัวของตนเองด้วย ในกรณีที่น้องสาวคนสุดท้องแต่งงานและนำสามีเข้ามาอยู่ในบ้าน จะได้รับการคาดหวังให้เลี้ยงดูและปรนนิบัติพ่อแม่ และจะกลายเป็นเจ้าของเรือนในที่สุด ขณะเดียวกันหากลูกชายไปแต่งงาน ก็จะต้องไปอยู่บ้านลูกสะใภ้และเป็นแรงงานหลักให้กับครอบครัวของฝ่ายหญิงที่ไปแต่งงานด้วย จากความสัมพันธ์ผ่านการแต่งงาน ส่งผลให้รูปแบบของคนในครอบครัวเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นวัฏจักรของครอบครัวเดี่ยวและขยายวนไปเรื่อย ๆ ตามช่วงอายุวัย (กิตติภัต นันท์ธนะวานิช, 2545, หน้า 187-189) แม้ว่ารูปแบบหลังการแต่งงานของชาวลาวเวียงส่วนใหญ่ ฝ่ายชายจะไปตั้งถิ่นฐานที่บ้านฝ่ายหญิง แต่การสืบสกุลก็ยังนับของทางฝ่ายพ่อเป็นหลัก
การสืบทอดมรดกของชาวลาวเวียง มักเกิดในรูปแบบของเครือข่ายความสัมพันธ์ในครอบครัวเป็นหลัก โดยมีมรดกสำคัญได้แก่ ที่ดินทำกิน บ้านพร้อมที่ดิน สัตว์เลี้ยง และอุปกรณ์ในการสร้างผลผลิต โดยเกณฑ์การสืบทอดมรดกจะต้องสัมพันธ์กับจำนวนสมาชิกในครอบครัว เช่น พ่อแม่มีที่ดินทั้งสิน 50 ไร่ และมีลูก 5 คน อาจจะจัดการแบ่งให้คนละ 9-10 ไร่ โดยจะเหลือเก็บไว้สำหรับทำกินเองประมาณ 3 ไร่ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่พอเพียงสำหรับพ่อแม่ที่สูงอายุ แต่หากลูกคนใดไม่ได้แยกครอบครัวออกไป ก็จะได้ที่ดินบ้านในส่วนของพ่อแม่เป็นค่าตอบแทนในการดูแล ทั้งนี้การสืบทอดมรดกสามารถเกิดขึ้นได้ 2 กรณี คือ กรณีแรกในขณะที่พ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ สมาชิกทุกคนในครอบครัวจะมาประชุมตกลงกัน พ่อแม่ทำหน้าที่แบ่งทรัพย์สินให้อย่างเท่าเทียม กรณีเช่นนี้มักเกิดขึ้นเมื่อลูกสาวต้องการแยกไปสร้างครอบครัวใหม่ ส่วนลูก ๆ ที่ยังไม่แต่งงานยังคงใช้ทรัพย์สินมรดกในส่วนของตนเองร่วมกับของพ่อแม่ สำหรับกรณีที่สอง เป็นการสืบทอดมรดกเมื่อพ่อแม่ไม่สามารถทำงานได้ หรือคนใดคนหนึ่งเสียชีวิตลง สมาชิกทุกคนในครอบครัวจะมาประชุมกันและแบ่งทรัพย์สินต่าง ๆ ของพ่อแม่ สำหรับลูกคนใดที่ได้ปรนนิบัติดูแลพ่อแม่จะได้รับทรัพย์สินในส่วนของพ่อแม่ไปด้วย
ระบบเครือญาติของชาวลาวเวียงแบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะ คือ
เครือญาติโดยสายโลหิต เป็นความสัมพันธ์ที่เกิดจากการสืบทอดลักษณะทางชีวภาพจากบุคคลหนึ่งไปสู่อีกบุคคลหนึ่ง หรือเรียกว่า การสืบทอดทางพันธุกรรม โดยพี่น้องจะเกิดจากพ่อแม่เดียวกันรวมถึงลูกของพี่น้องที่ร่วมสายโลหิต ลูกหลานจะมีความยำเกรงผู้ใหญ่ ที่ทำหน้าที่ในการอบรมเลี้ยงดู เครือญาติในลักษณะนี้จึงมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกัน นิยมตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้เคียงกันมีการไปมาหาสู่และทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกัน
เครือญาติที่เกิดจากการสมรส เป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัว โดยทั้งสองฝ่ายจะเกี่ยวดองเป็นเหมือนญาติพี่น้อง เครือญาติในลักษณนะนี้จะเป็นแหล่งของความช่วยเหลือในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ เช่นเดียวกับแบบแรก แต่จะมีความรู้สึกเกรงใจกันมากกว่า
อย่างไรก็ตามลักษณะโดยทั่วไปชาวลาวเวียงมักมีความผูกพันเสมือนเครือญาติ ซึ่งอาจสังเกตได้จากสำนึกความเป็นชาติพันธุ์เดียวกัน ผ่านสำเนียงภาษา คำศัพท์ที่ใช้เรียกบุคคลต่าง ๆ ในสังคม เช่น ตา ยาย ลุง ป้า น้า อา พี่ น้อง เช่นนี้เป็นต้น
ประเพณีลาวเกี่ยวกับการสืบเครือญาติ ชาวลาวเวียงจะแต่งผู้ชายเข้าบ้าน ตามความเชื่อที่ว่า “ทางลาวให้เอาสมบัติกับเมีย ผู้หญิงอยู่กับบ้าน ผู้ชายไปเอาสมบัติข้างหน้า” ดังนั้น ผู้ชายจึงต้องขยันเพื่อสร้างฐานะและพาครอบครัวให้อยู่ดีมีสุข
ระบบความเชื่อ ประเพณี และพิธีกรรม
ศาสนาและความเชื่อ
ชุมชนชาวลาวเวียงนับเป็นสังคมอุดมด้วยความหลากหลายทางความเชื่อเช่นเดียวกับสังคมไทยโดยทั่วไป ที่มีทั้งความเชื่ออันเนื่องมาจากพุทธศาสนาและความเชื่อในเรื่องเกี่ยวกับอำนาจเหนือธรรมชาติควบคู่กันไป โดยปรากฏให้เห็นจากการปฏิบัติในประเพณีและพิธีกรรมต่าง ๆ ซึ่ง นอกจากจะมีการแบ่งแยกกันตามขอบเขตของความเชื่อแล้ว ในบางประเพณีและพิธีกรรมยังเป็นการดำเนินอยู่ร่วมกันของความเชื่อทั้งสองฝ่ายอย่างกลมกลืน
ความเชื่อในพระพุทธศาสนา
ชาวลาวเวียงส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาท ซึ่งนับว่ามีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิต โดยทำหน้าที่เป็นกลไกในการกล่อมเกลาโน้มน้าวจิตใจ และสร้างจิตสำนึกในแง่ศีลธรรมจรรยาเพื่อให้เกิดความประพฤติที่ถูกต้องให้กับชาวบ้านมาตั้งแต่ในอดีต ด้วยการนำเอาหลักธรรมคำสั่งสอนสำคัญ ๆ เช่น เบญจศีล เบญจธรรม พรหมวิหาร 4 สังคหะวัตถุ 4 เป็นต้น มาเป็นแนวยึดถือปฏิบัติหรือเป็นตัวกระตุ้นประคับประคองเพื่อให้การดำเนินชีวิตร่วมกันของคนในชุมชน ก่อให้เกิดความสงบสุข ความมีระเบียบเรียบร้อย นอกจากนี้ยังนำเอาหลักธรรม คำสั่งสอนในระดับจริยธรรม ซึ่งเป็นคำสอนที่ว่าด้วยเกณฑ์ในการตัดสินคุณค่าทางจริยธรรมที่เกี่ยวกับความดีความชั่ว ความถูก ความผิด ความควรและไม่ควร มาเป็นแนวยึดถือปฏิบัติเพื่อใช้เป็นหลักหรือแนวทางสำหรับการดำเนินชีวิตประจำวันด้วย เห็นได้จากผู้คนส่วนใหญ่มีแนวคิดพื้นฐานทางจริยธรรมโดยมีความเชื่อว่าสิ่งที่ดีที่สุดในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่คือการมีชีวิตอยู่ด้วยความสุขที่มีปัจจัยต่าง ๆ มาบำรุงชีวิตของตนเองและครอบครัวอย่างเพียงพอ ส่วนจุดมุ่งหมายปลายทางอันสูงสุดของชีวิตคือการพยายามปฏิบัติตนตามหลักอริยมรรค หรือทางอันประเสริฐที่ประกอบด้วยมรรคมีองค์ 8 ประการโดยการเน้นชำระจิตให้สะอาดบริสุทธิ์เพื่อให้บรรลุถึงอมตภาพที่เรียกว่า "นิพพานหรือความดับสนิทซึ่งความทุกข์ " นอกจากนี้ชาวลาวเวียงยังมีความเชื่อเรื่องบุญบาป กรรมเวร นรกสวรรค์ ชาติปางก่อนและชาติหน้า ทำให้ทุกคนพยายามทำความดีโดยการบำรุงศาสนาเช่น ทำบุญกฐิน ตักบาตรในตอนเช้าและวันสำคัญทางศาสนา พฤติกรรมดังกล่าวส่งผลสำคัญในการควบคุมและกำหนดพฤติกรรมของชาวลาวเวียง และสร้างความสัมพันธ์ระหว่างวัดกับชุมชนให้เกิดขึ้น (กิตติภัต นันท์ธนะวานิช, 2545, หน้า 200-201)
ความเชื่อจากอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์
บายศรีสู่ขวัญ เป็นพิธีกรรมที่ได้รับอิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์ ในสังคมไทยพบร่องรอยว่ามีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา คำว่า “บาย” เป็นภาษาเขมรแปลว่า “ข้าว” ข้าวที่เป็นศรีหรือเป็นศิริมงคลเพื่อเป็นเครื่องสังเวยให้กับเทพ ข้าวจึงเป็นส่วนประกอบในพิธีบายศรีสู่ขวัญตามความเชื่อของพราหมณ์ (มานะชัย วงศ์ประชา, 2556, หน้า 1) ขวัญเป็นคำโบราณที่ใช้มานานและยังเป็นความเชื่อของกลุ่มคนในภูมิภาคเอเชีย ชาวลาวเรียกขวัญว่า “ขวน” โดยเชื่อว่าร่างกายประกอบด้วยสิ่งที่มองเห็นเป็นรูปร่าง และสิ่งที่มองไม่เห็น คล้าย ๆ กับวิญญาณแต่ไม่ใช่วิญญาณ เป็นสิ่งสำคัญที่คน สัตว์ หรือแม้กระทั่งสิ่งของบางชนิดต้องมีขวัญ โดยคนคนหนึ่งจะมีเพียงหนึ่งขวัญ ถ้าหากเวลาใดขวัญออกห่างจากร่างกาย จะส่งผลให้คนนั้นมีอาการอ่อนแอ เจ็บป่วยและอาจเสียชีวิตไปในที่สุด โดยเชื่อกันว่าการที่ร่างย้ายจากสถานะหนึ่งหรือย้ายจากที่หนึ่งไปอยู่อีกที่หนึ่งอย่างกะทันหัน เช่น การไปทำงานต่างถิ่น การไปเทียวสนุกสนานจนลืมตัว อาจทำให้ขวัญเหินห่างจากร่างได้ ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันมิให้ขวัญออกจากร่างกาย หรือให้ขวัญกลับเข้าสู่ร่างเดิม จึงมีพิธีเรียกขวัญ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อรับขวัญ บำรุงขวัญให้กำลังใจ และถือเป็นการอวยพรให้ประสบความสุขความเจริญ (นิตินันท์ พันทวี, 2544, หน้า 153-154)
ความเชื่อเรื่องขวัญก่อให้เกิดพิธีสู่ขวัญ โดยชาวลาวเวียงนิยมบายศรีสู่ขวัญทุกช่วงเวลาของชีวิต เช่น การสู่ขวัญนาค เพื่อเป็นสิริมงคล โดยมุ่งการสอนให้ยึดมั่นในพุทธศาสนา การปฏิบัติตนเมื่อเป็นพระภิกษุ และระลึกถึงคุณบิดามารดา
การสู่ขวัญแต่งงาน เพื่อให้เกิดความสุขสวัสดิ์โชคดีแก่คู่บ่าวสาว มีความมุ่งหมายเพื่อสอนเกี่ยวกับการครองเรือน แต่เดิมพิธีการสู่ขวัญจะจัดให้เฉพาะคู่บ่าวสาวที่ปฏิบัติตนตามธรรมเนียมไม่ชิงสุกก่อนห่ามเท่านั้น แต่ปัจจุบันปรับเปลี่ยนไป โดยสามารถทำพิธีสู่ขวัญให้กับคู่บ่าวสาวในทุกกรณี
การสู่ขวัญขึ้นบ้านใหม่ จัดขึ้นเมื่อมีการย้ายไปอยู่บ้านหลังใหม่ จัดขึ้นเพื่อสร้างความเป็นสิริมงคลให้กับเจ้าของเรือน ตวามความเชื่อดั้งเดิมที่ว่า ที่ดินและไม้ที่นำมาสร้างบ้านมักมีเจ้าของรักษาอยู่ เมื่อจะเข้าพักอาศัยหรือประกอบกิจกรรมใด ๆ จึงต้องประกอบพิธีที่เป็นสิริมงคลเพื่อปัดเป่าสิ่งไม่ดีทั้งปวง
การสู่ขวัญโชคชัย เป็นพิธีสู่ขวัญเพื่อสร้างความเป็นสิริมงคลแก่ผู้ที่มาเยือนหรือจากไปตามวาระโอกาสต่าง ๆ เช่น การสู่ขวัญเมื่อมีญาติผู้ใหญ่เดินทางมาจากจังหวัดอื่นเข้ามาเยี่ยมเยียน
การสู่ขวัญข้าว มักทำในเดือน 3 ข้างขึ้นตามความเชื่อที่ว่าจะทำให้ “กินบ่บก จกบ่ลง” หมายถึง กินเท่าไรไม่รู้จักหมด ชาวลาวเวียงจะทำพิธีสู่ขวัญข้าว ทำพิธีเปิดเล้า (ยุ้งข้าว) ก่อนนำมากิน เพื่อเป็นสิริมงคล ทำให้ผลิตข้าวในปีต่อไปได้อย่างอุดมสมบูรณ์ไม่เกิดภาวะอดอยาก และเป็นโชคชัยในการทำการเกษตร บูชาพระแม่โพสพ การสู่ขวัญช้าวในแต่ละปีจะมีการจำลองเล้าหรือยุ่งข้าวขึ้นเพื่อประกอบพิธีกรรม โดยมีเครื่องบายศรี อาหารคาวหวาน ไก่ต้ม อาหารคาวหวาน ไก่ต้ม เหล้าขาว ข้าวเปลือก พืชพันธุ์ต่าง ๆ ยอดกล้วย หน่ออ้อย
การประกอบพิธีบายศรีสู่ขวัญในโอกาสต่าง ๆ ต้องมีหมอสู่ขวัญเป็นผู้ทำพิธี โดยเครื่องบายศรีประกอบด้วย ข้าว ไข่ต้มหรือไข่ขวัญ ขนมหวาน ข้าวต้มมัด น้ำอบ น้ำหอม ธูป เทียน สีผึ้ง (ขี้ผึ้ง) ใบไม้มลคลต่าง ๆ ฝ้ายผูกแขน หมากพลู ยาสูบ บายศรีทำจากใบตองพับให้เป็นรูปสามเหลี่ยมมีมุมแหลมและซ้อนกันซึ่งชาวลาวเวียงจะร่วมมือร่วมใจกันทำโดยมีคติความเชื่อว่าจะไม่กล่าวตำหนิติเตียนว่าบายศรีไม่งามหรือกล่าวคำพูดที่ไม่เป็นมงคล
ใบไม้มงคลที่ชาวลาวเวียงนำมาใช้เป็นเครื่องประกอบพิธีกรรมที่มีความสำคัญในพิธีบายศรีสู่ขวัญ ถือเป็นสัญลักษณ์แทนความเป็นสิริมงคล ความสุข ความเจริญรุ่งเรือง อธิบายความหมายที่แฝงได้ ดังนี้
ใบเตย แทนความสดชื่น เพราะเป็นพืชที่มีกลิ่นหอม
ใบคูณ แทนความยั่งยืน ค้ำคูณ ปลอดภัย
ใบมะยม แทนความนิยมชมชอบ การยอมรับ
ใบยอ สัญลักษณ์แทนการยกยอ ชมเชย นับถือ สรรเสริญ
ใบบัว แทนความบริสุทธิ์ ไม่มีมลทินใด ๆ มาเป็นอุปสรรคในการประกอบพิธี
ใบเงิน/ใบทอง แทนความร่ำรวย มั่งมีเงินทอง
หญ้าคา แทนความอดทน ยั่งยืน
หญ้าแพรก แทนความอดทน
ใบมะพร้าว แทนความแข็งแรง ยืนยาว (วรรณพร บุญญาสถิตย์ และคณะ, 2559, หน้า. 29-32)
พิธีบายศรีสู่ขวัญสร้างคุณค่าให้แก่ชุมชนลาวเวียง ประกอบด้วย คุณค่าในตัวพิธีกรรมบายศรีสู่ขวัญ ซึ่งเป็นคุณค่าในองค์ประกอบของพิธี 4 ประการ ได้แก่ ประการแรกผู้นำพิธีกรรม ผู้ร่วมพิธีกรรม บทสู่ขวัญ วัสดุสิ่งของหรือเครื่องสังเวย เวลาและสถานที่ ในฐานะเป็นสัญลักษณ์สื่อความหมายแห่งความดีงาม ประการที่สองคุณค่าที่เกิดขึ้นต่อตัวบุคคล ได้แก่ สมาธิ ความสบายใจ ความกตัญญูกตเวที ความอ่อนน้อมถ่อมตนมีสัมมาคารวะ และความมีน้ำใจงาม ประการที่สามคุณค่าของพิธีกรรมที่เกิดขึ้นต่อชุมชน ในฐานะเป็นกระจกเงาสะท้อนวัฒนธรรมทางภาษาและให้ความบันเทิงแก่ชุมชน และประการที่สี่ คุณค่าในฐานะของการทำหน้าที่ควบคุมรักษาแบบแผนทางสังคมของชุมชน ขัดเกลาสังคม และสร้างความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน (นิตินันท์ พันทวี, 2544, หน้า ง)
ความเชื่อเกี่ยวกับผีบรรพบุรุษ
ก่อนที่พระพุทธศาสนาจะเข้ามาเผยแผ่และมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิต ชาวลาวเวียงมีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องของอำนาจเหนือธรรมชาติเป็นพื้นฐานสำคัญ เมื่อศาสนาพุทธเข้ามาจึงได้ถูกนำเอาความเชื่อในระดับ โลกียะไปผสมผสานให้กลมกลืนเข้ากับความเชื่อและพิธีกรรมต่าง ๆ ที่ปฏิบัติสืบทอดต่อกันมานานจนก่อให้เกิดเป็นพุทธศาสนาในระดับชาวบ้านขึ้น ซึ่งระบบความเชื่อนี้นับเป็นสิ่งที่มีบทบาทและยังคงมีความสำคัญต่อจิตใจและพฤติกรรมเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกับกลุ่มของผู้ที่อยู่ในวัยสูงอายุ และกลุ่มผู้ที่อยู่ในวัยกลางคน ความเชื่อและพิธีกรรมที่ยังคงมีอยู่ในหมู่บ้านชาวลาวเวียง มีลักษณะคล้ายกันกับระบบความเชื่อและพิธีกรรมต่าง ๆ ที่อยู่ในเขตของท้องถิ่นภาคอีสาน แต่อาจมีความแตกต่างกันที่รายละเอียดซึ่งในแต่ละชุมชนได้มีการปรับเปลี่ยนความเชื่อและพิธีกรรมเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพท้องถิ่นของตนเอง คติความเชื่อเรื่องผีเป็นคติความเชื่อที่มีอยู่ในปัจเจกชนแต่ละคนซึ่งพยายามหาคำตอบในปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นผีเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจเหนือธรรมชาติ ที่อยู่เหนืออำนาจการควบคุมของมนุษย์ เมื่อมนุษย์มาอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม มนุษย์มีความผูกพันกันและได้แสดงพฤติกรรมร่วมกันเกิดเป็นพิธีกรรมที่เกี่ยวกับความเชื่อเรื่องผี ผีในทัศนคติของชาวบ้านเป็นผีที่มีความสำคัญต่อวิถีการดำเนินชีวิตของคนในชุมชน ผีเป็นผู้ให้ความหมายหรืออาจกล่าวได้ว่า ผีเป็นผู้วางกฎเกณฑ์ในการดำเนินชีวิตของชาวบ้าน ผีเป็นสิ่งที่รู้สึกสัมผัสได้อาจจะไม่ใช้ด้วยระบบประสาททั้งห้า หากมันเกิดขึ้นด้วยความเชื่อมั่นและศรัทธาที่ทำให้เกิดดุลยภาพในสังคมระดับชาวบ้าน แม้แต่ในราชสำนักไทยแต่เดิมพิธีกรรมต่าง ๆ ก็มีความเชื่อเรื่องผี เข้าไปปะปนอยู่มากความเชื่อเรื่องภูติผีนั้นฝังแน่นอยู่กับคตินิยมของคนไทยอย่างแน่นแฟ้นตั้งแต่สมัยอดีต แม้แต่ทางบ้านเมืองก็ยังมีพระราชพิธีเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องภูติผีอยู่ไม่น้อย ในรอบปีหนึ่ง ๆ เช่น การเซ่นสรวงพระเสื้อเมืองพระทรงเมืองและหลักเมืองรวมทั้งพิธีสอบสวนคดีความสมัยอดีตโดยใช้พิธีลุยไฟ ดำน้ำ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ของจำเลยซึ่งพิธีกรรมดังกล่าวเป็นความเชื่อในภูติผีวิญญาณทั้งสิ้น การนับถือผีสางก็ยังนิยมกันอยู่ ปัจจุบันในท้องถิ่นลาวเวียงบางแห่งความเชื่อเรื่องผีก็ยังมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตของชุมชน
สำหรับคนลาวเวียง ผีคือวิญญาณของผู้ที่ล่วงลับไปแล้วหรือที่มีอยู่แล้วโดยไม่ทราบว่ามีมาแต่เมื่อใดหรือมีมาอย่างไร ผีเหล่านี้ประกอบด้วยผีประเภทต่าง ๆ เช่น ผีนา ผีป่า ผีเขา ผีบ้านผีหมู่บ้าน ผีปู่ย่าตายาย ผีฟ้า ผีแถน และผีอื่น ๆ หรือแม้กระทั่งผีที่เกิดจากการกระทำของบุคคล เช่น ผีปอบ ความเชื่อเรื่องผีอันเป็นความเชื่อที่มีมาแต่เดิม ผสมผสานกับความเชื่อในพระพุทธศาสนาจนแทบจะแยกกันไม่ออกว่าพิธีกรรมใดเกิดจากความเชื่อในพระพุทธศาสนาหรือพิธีกรรมใดเกิดจากความเชื่อเรื่องผี ดังเช่น พิธีกรรมเกี่ยวกับผีบรรพบุรุษของชาวลาวเวียง ที่สะท้อนผ่าน “พิธีเบิกหอบ้าน” ซึ่งเป็นประเพณีที่จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นประจำทุกปีเพื่อแสดงความเคารพสักการะผีบรรพบุรุษ โดยจะทำพิธีหอผีบรรพบุรุษประจำชุมชน เป็นสื่อสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นว่าชาวลาวเวียงในพื้นที่นั้น ๆ สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน ชาวลาวเวียงเชื่อว่าผีบรรพบุรุษจะเป็นผีที่ให้ความคุ้มครองชาวบ้านให้อยู่เย็นเป็นสุข ทั้งชาวบ้านที่อยู่ในชุมชนและชาวบ้านที่เดินทางออกไปทำงานนอกชุมชน แต่เดิมนั้นเป็นเพียงพิธีเลี้ยงผีบรรพบุรุษโดยเฉพาะแต่เมื่อได้รับอิทธิพลจากศาสนาพุทธ ชาวลาวเวียงจึงได้นำเอาพิธีทางศาสนาเข้ามาผสมผสาน โดยมีการนิมนต์พระมาสวดมนต์ในพิธี สะท้อนการปสมผสานระหว่าง ผีและพุทธในคราวเดียวกัน
พิธีเบิกหอบ้านจะจัดขึ้นในเดือนเจ็ดของทุกปี เมื่อกำหนดวันที่จะทำพิธีได้แล้วจะนำพระสงฆ์มาสวดมนต์เย็น ณ บริเวณลานหน้าหอบ้าน ชาวลาวเวียงจะมาพร้อมกันในบริเวณลานพิธี ที่จัดที่มีการจัดเตรียม โดยมีขันน้ำสำหรับทำน้ำมนต์และฝ้ายมงคลสำหรับเข้าร่วมพิธีด้วย เพื่อรับการสวดให้เกิดความเป็นสิริมงคลและชาวบ้านจะนำไปไว้บริเวณบ้านเรือนของตน ต่อมาในช่วงเช้า ชาวลาวเวียงทุกหลังคาเรือนจำทำกระทงกล้วยสามเหลี่ยมที่เรียกว่า “กระทงหน้าวัว” พร้อมแต่งเครี่องสักการะบูชาเป็นต้นว่า ข้าวดำ ข้าวแดง แกงส้ม แกงหวาน เมี่ยง หมาก พริกเกลือ ปั้นรูปคนรูปสัตว์ในครัวเรือนของตนใส่ในกระทงนั้นด้วย เพื่อถวายบูชาแก่ท้าวมหาราชทั้งสี่ที่รักษาประจำทิศ เพื่อให้หายทุกข์โศกโรคภัยไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน ให้อยู่เย็นเป็นสุข ไม่มีอุปสรรคในการดำเนินชีวิต ตามความเชื่อของชาวลาวเวียงที่ว่า ท้าวทั้งสี่จะนำความอัปมงคลออกไปจากครัวเรือน (วรรณพร บุญญาสถิตย์ และคณะ, 2559, หน้า 25-26) ความเชื่อเรื่องผีใจความสำคัญอาจจะไม่อยู่ที่ผีแต่อยู่ที่ “จิตสำนึกของมนุษย์” ก็เป็นได้ ในปัจจุบันยังพบว่า แม้ชาวลาวเวียงหันมานับถือศาสนาพุทธ แต่ก็ยังเชื่อถือเรื่องของโชคลาภ ดวงชะตา ปีชง จึงทำให้มีการทำสะเดาะเคราะ แก้กรรม และเสริมดวงชะตา มีอยู่และเป็นที่นิยมในชุมชน
ประเพณี เทศกาล และพิธีกรรม
ประเพณี เทศกาล และพิธีกรรมที่สำคัญในรอบปี
พิธีใต้หางประทีป
เป็นพิธีที่ถือปฏิบัติสืบต่อกันมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ จากความเชื่อตามพุทธประวัติที่ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ไปโปรดมารดาบนสวรรค์ในระหว่างเข้าพรรษา แล้วเสด็จกลับลงมายังโลกมนุษย์ในวันออกพรรษา สาธุชนต่างปิติยินดีในจริยวัตรของพระพุทธองค์จึงได้ทำพิธีไต้ประทีป ชาวลาวเวียงตลอดจนภิกษุสามเณรต่างจุดประทีปโคมไฟ เพื่อเป็นพุทธบูชาพระพุทธองค์ ชาวลาวเวียงจะร่วมกันจัดวัดสร้าง “ฮ้านประทีป” ขึ้นที่หน้าพระอุโบสถ สร้างด้วยเสาสี่ต้นใช้ไม้ไผ่หรือไม้อื่นได้ตามความเหมาะสม ประดับด้วยต้นกล้วยต้นอ้อยระหว่างเสาสี่ต้น ยกพื้นสูงประมาณหนึ่งเมตร พื้นทำด้วยไม้ไผ่สานขัดแตะตาห่าง ๆ ทำพิธี 3 วันในวันขึ้น 14 ค่ำ 15 ค่ำและแรม 1 ค่ำ เดือน 11 โดยจะจุดประทีป ธูป เทียน บูชาพระรัตนตรัยที่ฮ้านประทีป พระสงฆ์ทำพิธีเจริญพระพุทธมนต์ สำหรับผู้เฒ่าผู้แก่ที่ไม่สะดวกที่จะมาทำพิธีที่วัดก็จะไต้หางประทีปที่หน้าบ้านของตนเองจนครบ 3 วันเช่นกัน เมื่อเสร็จพิธีจะมีกิจกรรมรื่นเริงด้วยการละเล่นรำวง ลำแคน ตามวิถีประเพณี (วรรณพร บุญญาสถิตย์ และคณะ, 2559, pp. 27-28)
พิธีไต้หางพระทายหรือใต้หางพระทราย
เป็นการบูชาพระทรายในเทศกาลสงกรานต์ พิธีนี้จะเริ่มจากการสรงน้ำพระและแห่ดอกไม้รอบหมู่บ้านในช่วงเย็นเป็นเวลา 3 วัน หลังจากการแห่ดอกไม้แล้วชาวลาวเวียงขนทรายเข้ามาก่อกองทรายหลาย ๆ กองไว้ในบริเวณวัด มีไม้ไผ่ปักไว้เป็นเสากลาง นำดอกไม้ธูปเทียนมาปักไว้รอบกองทรายที่ก่อไว้ จากนั้น พระสงฆ์จะทำพิธีเจริญพระพุทธมนต์ และตามด้วยกิจกรรมรื่นเริง รำวง รำแคน (วรรณพร บุญญาสถิตย์ และคณะ, 2559, หน้า 28)
บุญเข้ากรรม
เกี่ยวกับพระภิกษุต้องอาบัติสังฆาทิเสส ต้องอยู่กรรมจึงจะพ้นอาบัติ ถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ในระหว่างภิกษุเข้ากรรม ญาติ โยม สาธุชน ผู้หวังบุญจะไปร่วมทำบุญบริจาคทาน รักษาศีล เจริญภาวนา และฟังธรรม เป็นการร่วมทำบุญระหว่างพระภิกษุ สมาเณร และชาวบ้านกำหนดวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนอ้าย เรียกอีกชื่อว่า “บุญเดือนอ้าย”
บุญคูนลาน
จัดขึ้นที่วัด หรือที่บ้านก็ได้ โดยชาวบ้านจะเอาข้าวมารวมกันแล้วนิมนต์พระภิกษุมาเจริญพระพุทธมนต์ จัดน้ำอบน้ำหอมไว้ประพรม วนด้ายสายสิญจน์บริเวณรอบกองข้าว ตอนเช้ามีการถวายอาหารบิณฑบาต และนำเอาน้ำพระพุทธมนต์ไปรดกองข้าว ถ้าทำที่บ้านเรียกว่า "บุญกุ้มข้าว" กำหนดในเดือนยี่ เรียกอย่างหนึ่งว่า “บุญเดือนยี่” (ณัฐพจน์ โพธิ์เจริญ, 2558, หน้า 70)
บุญข้าวจี่
เป็นงานบุญประเพณีของชาวลาวเวียงที่ทำบุญโดยนำข้าวจี่ไปถวายแก่พระสงฆ์ ซึ่งทำในวันขึ้น 15 ค่ำเดือนสาม สาเหตุที่ทำบุญข้าวจี่ในเดือนสาม เนื่องจากเป็นช่วงสิ้นสุดฤดูกาลทำนาชาวนาได้ข้าวขึ้นยุ้งใหม่จึงอยากร่วมกันทำบุญข้าวจี่ถวายแด่พระภิกษุสงฆ์ สำหรับมูลเหตุดั้งเดิมที่มีการทำบุญข้าวจี่ มีเรื่องเล่าตามความเชื่อว่า ในสมัยพุทธกาล นางปุณณะทาสี ได้ทำขนมแป้งข้าวจี่ถวายแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอานนท์เถระ ครั้นถวายแล้วนางคิดว่าพระองค์คงไม่เสวยและอาจเอาไปทิ้งให้สุนัขหรือกากินเพราะอาหารที่นางถวายไม่ประณีตน่ารับประทาน เมื่อพระพุทธเจ้าทรงทราบภาวะจิตของนางปุณณะทาสี จึงรับสั่งให้พระอานนท์ปูลาดอาสนะแล้วทรงประทับนั่งฉันท์ ณ ที่นางถวายนั้น เป็นผลให้นางบังเกิดความปีติยินดี และยิ่งได้ฟังพระธรรมเทศนาก็ได้บรรลุโสดาปัตติผลด้วยอานิสงฆ์ที่ถวายขนมแป้งจี่ ชาวอีสานจึงเชื่อในอานิสงฆ์ของทานดังกล่าวจึงพากันทำข้าวจี่ถวายทานแด่พระสงฆ์สืบต่อมา
ข้าวจี่ คือ การนำข้าวเหนียวมานึ่งให้สุกแล้วนำมาปั้นเป็นก้อนทาเกลือ เคล้าให้ทั่วเอาไม้เสียบย่างไฟ เมื่อข้าวสุกเกรียมแล้วชุบทาด้วยไข่ที่ตีแล้วย่างซ้ำกลายเป็นไข่เคลือบข้าวเหนียวเสร็จแล้วถอดไม้ออกนำไปถวายพระภิกษุสามเณรฉันตอนเช้า (วรรณพร บุญญาสถิตย์ และคณะ, 2559, หน้า 33-34)
บุญสรงน้ำ (ประเพณีวันสงกรานต์ ) เป็นงานบุญประจำปี เชื่อกันว่าจะได้บุญมากเพราะเป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทยด้วย และมีการรดน้ำดำหัวผู้เฒ่าผู้แก่ของชุมชนเชื่อกันว่าจะเป็นสิริมงคลแก่ลูกหลาน ภายในงานมีการร้องรำทำเพลงเกี้ยวพาราสีของผู้ใหญ่ในชุมชมในประเพณีสงกรานต์
บุญซำฮะ ซำฮะ คือการชำระล้างสิ่งสกปรก รกรุงรังให้สะอาดหมดจด เมื่อถึงเดือน 7 ชาวบ้านจะรวมกันทำบุญโดยยึดเอา "ผาม หรือศาลากลางบ้าน" เป็นสถานที่ทำบุญ ชาวบ้านจะเตรียมดอกไม้ธูปเทียน โอ่งน้ำ ฝ้ายใน ไหมหลอด ฝ้ายผูกแขน แห่ทรายมารวมกันที่ผามหรือศาลากลางบ้าน ช่วงเย็นนิมนต์พระสงฆ์มาเจริญพระพุทธมนต์ ตอนเช้าถวายอาหาร เมื่อเสร็จพิธีทุกคนจะนำน้ำพระพุทธมนต์ ฝ้ายผูกแขน แห่ทรายของตนกลับบ้าน นำน้ำมนต์ไปรดลูกหลาน ทรายนำไปหว่านรอบบ้าน ฝ้ายผูกแขนนำไปผู้กขอมือลูกหลานเพื่อให้เกิดสวัสดุมงคลตลอดปี ถ้ามีการเจ็บไข้ได้ป่วยต้องมีการสวดถอด เป็นต้น
บุญเข้าพรรษา กำหนดวันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "บุญเดือน 8" ในเทศกาลเข้าพรรษา เป็นเวลาที่พระภิกษุสงฆ์จะต้องบำเพ็ญไตรสิกขา คือศีล สมาธิ ปัญญา ให้บริบูรณ์ ส่วนคฤหัสถ์ก็จะต้องบำเพ็ญบุญกริยาวัตถุ 3 คือทาน ศีล ภาวนา ให้เต็มเปี่ยม ช่วงเช้าญาติโยมจะนำอาหารมาถวายพระภิกษุ ตอนบ่ายนำดอกไม้ธูปเทียน ข้าวสาร ผ้าอาบน้ำฝน รวมกันที่ศาลาวัด ตอนเย็นญาติโยมพากันทำวัตรเย็นแล้วฟังเทศน์
บุญข้าวประดับดิน กำหนดทำบุญในเดือน 9 ภายในงานมีการนำอาหาร และของขบเคี้ยวเป็นห่อ ๆ แล้วนำไปถวายวางแบไว้กับดิน จึงเรียกว่า "บุญข้าวประดับดิน" ชาวบ้านจะจัดอาหารคาว หวาน และหมากพลูบุหรี่ กะว่าให้ได้ 4 ส่วน ส่วนที่ 1 เลี้ยงดูกันในครอบครัว ส่วนที่ 2 แจกให้ญาติพี่น้อง ส่วนที่ 3 อุทิศไปให้ญาติที่ตาย ส่วนที่ 4 นำไปถวายพระสงฆ์ ทำเป็นห่อ ๆ ให้ได้พอควร โดยนำใบตองกล้วยมาห่อของคาว หวาน หมากพลูบุหรี่ แล้วเย็บรวมกันเป็นห่อใหญ่ในระหว่าง เช้ามืดในวันรุ่งขึ้นจะนำห่อเหล่านี้ไปวางไว้บริเวณวัด ด้วยถือว่าญาติพี่น้องจะมารับของที่นั่น (เชื่อกันว่าเป็นวันยมทูตเปิดนรกชั่วคราว ให้สัตว์นรกมารับของทานในระยะหนึ่ง และยังถือว่าเป็นวันกตัญญูอีกด้วย) ตอนเช้านำอาหารอีกส่วนหนึ่งไปถวายพระ ฟังพระธรรมเทศนา เสร็จแล้วทำพิธีอุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว
บุญข้าวสาก นิยมจัดในเดือน 10 โดยการเขียนชื่อลงในพาข้าว (สารับกับข้าว) เรียกว่าข้าวสาก (สลาก) ญาติโยมจะจัดอาหารเป็นห่อ ๆ แล้วนำไปแขวนไว้ตามต้นไม้ โดยทำกันในตอนกลางวันก่อนเพล เป็นอาหาร คาว หวาน พอถึงเวลา 4 โมงเช้า พระสงฆ์จะตีกลองโฮม (รวม) ญาติโยมจะนำพาข้าว (สารับกับข้าว) ของตนมารวมกัน ณ ศาลาการเปรียญ เจ้าภาพจะเขียนชื่อลงในกระดาษม้วนลงในบาตร เมื่อพร้อมแล้วหัวหน้า กล่าวนาคำถวายสลากภัต จบแล้วยกบาตรสลากไปให้พระจับ ถูกชื่อใครก็ให้ไปถวายพระองค์นั้น ก่อนจะถวายพาข้าวให้นำพาข้าว 1 พา มาวางหน้าพระเถระ แล้วให้พระเถระ กล่าวคำอุปโลกน์ (ณัฐพจน์ โพธิ์เจริญ, 2558, หน้า 72-77)
บุญกระยาสารทหรือสารทลาว ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 10 ของทุกปี เป็นงานบุญประเพณีที่ทำเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่บรรพบุรุษ ญาติพี่น้องที่ล่วงลับไป แสดงออกถึงความกตัญญูกตเวทีต่อบรรพบุรุษ รวมทั้งเลี้ยงตอบแทนและขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกป้องรักษาไร่นา ตามความเชื่อที่สืบทอดกันมาแต่โบราณที่เชื่อว่าเป็นวันที่ยมบาลจะปล่อยวิญญาณและภูตผีปีศาจทั้งหลายจากนรกที่ต้องจองจำอยู่ต่อเนื่องจากผลกรรมที่ตนได้เคยทำไว้ตอนมีชีวิตอยู่ให้มาท่องเที่ยวเยี่ยมเยียนลูกหลานบนโลกมนุษย์ โดยจะเริ่มปล่อยตัวออกจากนรกในทุกวันแรม 1 ค่ำ เดือน 10 โดยมีจุดประสงค์ให้มารับส่วนบุญกุศลจากลูกหลานญาติพี่น้องที่ได้เตรียมการอุทิศไว้ให้ หลังจากนั้นก็จะกลับไปยังนรก ในวันแรม 15 ค่ำเดือน 10 และช่วงเวลานี้เป็นเวลาที่เหมาะแก่การทำบุญ เนื่องจากในช่วงเดือน 10 นี้ ชาวนาได้หว่านข้าว ปักดำข้าวในท้องนาเรียบร้อยแล้วเป็นช่วงรอเก็บเกี่ยวผลผลิต จึงมีเวลาว่างพอที่จะทำบุญเพื่อเลี้ยงตอบแทนและขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์
กิจกรรมสำคัญสำหรับประเพณีนี้คือ การกวนกระยาสารทและจัดหาผลไม้ประกอบพิธีบุญ ซึ่งกระยาสารทนี้นอกจากจะกวนเพื่อถวายพระสงฆ์แล้วยังเป็นของฝากนำไปไหว้ญาติผู้ใหญ่ที่อยู่ห่างไกลหรือเพื่อนสนิทมิตรสหายที่เคารพนับถือ ในวันทำบุญชาวลาวเวียงจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่สวยงามแบบชาวลาวเวียง นำอาหารคาวหวาน กระยาสารท และผลไม้ต่าง ๆ ไปถวายพระภิกษุสงฆ์ โดยชาวลาวเวียงจะเตรียมกวนกระยาสารทหรือเรียกว่าข้าวตอกแตกก่อนถึงวันทำบุญ 3-4 วัน นอกจากอาหารที่เตรียมสำหรับถวายพระแล้วชาวลาวเวียงจะเตรียมห่อข้าวน้อย (ข้าวแจกข้าวยาย) เพื่อนำไปเลี้ยงผีปู่พ่อแม่ปู่ย่าตายาย เจ้ากรรมนายเวร ผีไม่มีญาติทั้งหลาย โดยหลังจากเสร็จพิธีทำบุญก็จะนำห่อข้าวแจกข้าวยายไปวางไว้ตามต้นไม้ กำแพงวัด หรือเจดีย์บรรพบุรุษ และนำข้าวแจกอีกหนึ่งห่อไปไว้ตามไร่นา เพื่อเลี้ยงเจ้าไร่เจ้านาหรือผีตาแฮก ซึ่งเป็นผีประจำท้องไร่ท้องนา ถือกันว่าเป็นผีที่ปกปักรักษาพืชสวนไร่นา และทำให้ข้าวกล้า เจริญงอกงาม อุดมสมบูรณ์ การทำนาจะได้ผลดี เก็บเกี่ยวได้ผลผลิตมาก (วรรณพร บุญญาสถิตย์ และคณะ, 2559, หน้า 40-42)
ประเพณี เทศกาล และพิธีกรรมที่เกี่ยวกับชีวิต
การตั้งครรภ์และการคลอดบุตร
ชาวลาวเวียงเชื่อว่าขณะตั้งครรภ์ มารดาต้องดูแลครรภ์เป็นอย่างดีโดยเน้นเรื่องอาหารการกินเป็นพิเศษ อย่างเช่น ห้ามกินของที่มีรสชาติจัดจ้าน เพราะเชื่อว่าจะทำให้เด็กที่อยู่ในครรภ์ร้อนเนื้อร้อนตัว ห้ามกินเนื้อวัวควาย เพราะเชื่อว่าจะทำให้เกิดเมือกไขมันติดที่ตัวเด็ก เมื่อคลอดออกมาจะทำให้ทำความสะอาดยาก ห้ามกินสัตว์ที่ฟักไม่เป็นตัวหรือตายขณะอยู่ในท้อง เช่น ไข่ข้าวหรือลูกวัว เป็นต้น เพราะเชื่อว่า จะทำให้ลูกในท้องเสียชีวิตเช่นเดียวกับสัตว์ดังกล่าว นอกจากนี้ผู้เป็นแม่จะต้องละเว้นจากการทำชั่ว รักษาสภาพจิตใจให้ผ่องใส เพราะถือว่าอกุศลต่าง ๆ ที่เกิดจากการกระทำของพ่อแม่จะส่งผลถึงตัวลูกที่อยู่ในครรภ์ นอกจากนี้ยังมีข้อห้ามปฏิบัติอื่น ๆ อีก เช่น ห้ามตำหนิติเตียนหรือเลียนแบบผู้ที่มีสภาพร่างกายพิการ เพราะเชื่อว่าลูกที่คลอดออกมาจะพิการเหมือนคนที่ถูกล้อเลียนไป ห้ามนั่งขวางบันไดขวางประตู เพราะเชื่อว่าลูกที่คลอดออกมาจะมีความบกพร่องทางจิต ห้ามอาบน้ำในเวลากลางคืน เพราะจะทำให้เมื่อคลอดลูกออกมาแล้วมีน้ำคาวปลาออกมามากเกินไป ห้ามไปดูผู้หญิงที่กำลังคลอดลูก เพราะเชื่อว่าเด็กที่อยู่ในครรภ์ชวนกันอยู่ในครรภ์ต่อ ไม่ยอมคลอดออกมาง่าย ๆ ห้ามมองดูสุริยุปราคาหรือจันทรุปราคา เพราะเชื่อว่าเด็กที่คลอดออกมาจะมีผิวพรรณกร้านดำหรือพิการทางสายตา
เมื่อถึงกำหนดคลอด ผู้เป็นพ่อจะพาหมอตำแยมาที่บ้าน หมอตำแยจะคลำที่ท้อง เพื่อดูว่าเด็กเลื่อนเอาศีรษะลงมาอยู่ในตำแหน่งที่จะคลอดแล้วหรือยัง จากนั้นจะสั่งให้ผู้เป็นสามีของหญิงมีครรภ์จัดเตรียมความพร้อมในการทำคลอด ตั้งแต่ต้มน้ำร้อน เตรียมก้อนถ่านไฟหุงข้าว จนถึงการนำเชือกหรือผ้าขาวม้าไปผูกติดกับขื่อเพื่อทำเป็นบ่วงให้หญิงมีครรภ์ได้จับถ่วงเพื่อโหนตัวขึ้นเมื่อมีอาการเจ็บครรภ์ ในขณะเดียวกันให้เปิดประตูและนำไม้ค้ำยันที่แผงหน้าต่างออกให้หมด เมื่อหญิงมีครรภ์มีอาการเจ็บที่ท้องถี่มากขึ้น หมอตำแยจะให้หญิงมีครรภ์นอนเอนหลังลงแล้วชันเข่าทั้งสองข่างขึ้นพร้อมกับโหนเชือกที่ผูกไว้ ส่วนหมอตำแยจะนั่งให้การช่วยเหลือโดยพูดให้กำลังใจและให้จังหวะในการเบ่ง เมื่อศีรษะของเด็กลงมาอยู่ในบริเวณช่องคลอดแล้ว หมอตำแยก็จะสั่งให้หญิงมีครรภ์ออกแรงเบ่งให้เต็มที่ พร้อมกับใช้มือทั้งสองข้างช่วยกดบริเวณท้องน้อยและบั้นเอวของหญิงมีครรภ์เพื่อให้เด็กคลอดออกมาเร็วขึ้น
เมื่อเด็กพ้นออกมาแล้ว หมอตำแยจะเอามือบีบเคล้นตรงหน้าท้องของหญิงมีครรภ์ให้แน่นอีกครั้งเพื่อให้รกไหลหลุดออกมาให้หมด หลังจากที่เด็กคลอดออกมาแล้วหมอตำแยจะอุ้มเด็กให้นอนคว่ำหน้าลงแล้วใช้นิ้วชี้ล้วงเอาน้ำคร่ำที่อยู่ในปากของเด็กออกให้หมด ในกรณีที่เด็กไม่ร้องไห้ หมอตำแยจะจับที่ขาทั้งสองข้างแล้วประคองเอาศีรษะของเด็กให้ห้อยลงพร้อมกับใช้ฝ่ามือตีที่ก้นเบา ๆ เพื่อให้เด็กส่งเสียงร้องออกมา จากนั้นนำผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดทำความสะอาดแล้วจึงนำผ้าสะอาดมาหุ้มตัวเด็กเพื่อปรับอุณหภูมิของร่างกาย เสร็จเรียบร้อยแล้วหมอตำแยจะตัดสายสะดือเด็กโดยใช้ฝ้ายมัดตรงหัวท้ายระหว่างสายสะดือทั้ง 2 จุด แล้วใช้ผิวไม้ไผ่รวกทำการตัดสายสะดือโดยมีก้อนถ่านไฟหุงข้าวหรือหินลับมีดรองรับอยู่ข้างใต้ จากนั้นหมอตำแยจะใช้ขมิ้นผสมดินสอพองมาพอกตรงบริเวณสะดือเพื่อเป็นยาสมานแผลให้สะดือแห้งหลุดเร็วขึ้น ส่วนสายสะอืดที่ถูกตัดขาดจะนำมาผสมคลุกเคล้าให้เข้ากับเกลือแล้วนำมาห่อด้วยใบตองเพื่อป้องกันการส่งกลิ่นเน่าเหม็น แล้วจึงส่งให้ผู้เป็นพ่อนำไปฝังบริเวณใต้บันไดเรือน ตามที่ชาวลาวเวียงบางกลุ่มเชื่อว่า จะทำให้เด็กเป็นคนว่านอนสอนง่าย มีความรักและห่วงใยในพ่อแม่และถิ่นฐานบ้านเกิด หลังจากนั้นผู้เป็นแม่จะต้องอยู่ไฟเพื่อเป็นการรักษาสภาพร่างกายหลังคลอดเป็นระยะเวลาตั้งแต่ 7 วัน 15 วัน หรือ 21 วัน ซึ่งหากเป็นลูกคนแรกแม่จะต้องอยู่ไฟตั้งแต่ 15 หรือ 21 วัน เป็นอย่างน้อย โดยก่อนอยู่ไฟผู้เป็นแม่จะต้องทำพิธีดับพิษไปเสียก่อน เพื่อป้องกันมิให้เกิดอันตรายจากความร้อนในขณะกำลังอยู่ไฟ โดยหมอตำแยผู้นำในการประกอบพิธีกรรมและเป็นผู้จัดเตรียมเครื่องบูชาอันประกอบด้วย หมาก พลู ยาสูบ เกลือ น้ำ และขันธ์ 5 โดยหมอตำแยจะบอกกล่าวดังนี้
“สาธุ พระพุทธคุณ พระธรรม พระสงฆ์ ลูกหลานสิมาขออยู่ฟืนอยู่กรรม ขอพ่อก้อนเส้าแม่ก้อนเส้า มารักสมรักษาลูกหลาน อย่าให้มีอันตรายอันใดแก่ลูกหลานนะ นะ”
เมื่อกล่าวเสร็จ หมอตำแยจะนำเกลือหว่านไปที่เตา 3 ครั้ง แล้วพรมน้ำลงไปที่เตาอีก 1 ครั้ง เป็นอันเสร็จพิธี ผู้เป็นแม่จึงได้เริ่มช่วงเวลาของการอยู่ไฟส่วนใหญ่บนแคร่ไม้ใกล้ ๆ กับกองไฟ 2 กอง กองหนึ่งเพื่อต้มน้ำที่ผสมสมุนไพร เช่น ใบหนาด ไม้แก่นขาม สำหรับไว้อาบ ส่วนอีกกองสำหรับต้มน้ำสมุนไพร เช่น หัวปลีกล้วย ขั้วขนุน แก่นไม้แดง เป็นต้น สำหรับดื่ม
เมื่อครบกำหนดของการอยู่ไฟ หมอตำแยจะต้องมาทำพิธีออกจากการอยู่ไฟ หรือที่ชาวชาวลาวเวียงเรียกว่า “ออกกรรม” มีการเตรียมของในพิธีประกอบด้วย หมากพลู ยาสูบ น้ำสะอาด และขัน 5 โดยหมอตำแยจะต้องกล่าว ดังนี้
“สาธุ พระพุทธคุณ พระธรรม พระสงฆ์ พ่อก้อนเส้าแม่ก้อนเส้า ลูกหลานสิมาขอขอบคุณ ขอบคุณ ที่ได้ช่วยรักสมรักษาลูกหลาน บ่ให้มีอันตรายอันใด มื้อนี้ลูกหลานสิได้ขอออกกรรมแล้วนะ”
จากนั้นจะเป่าลงไปในไฟ 3 ครั้ง แล้วใช้น้ำที่เตรียมมาลาดลงไปบนกองไฟทั้ง 2 กองเป็นอันเสร็จพิธี หลังจากนั้น
เมื่อทารกอายุครบ 1 เดือน พ่อแม่จะจัดทำพิธีโกนผมไฟ เพราะเชื่อว่าศีรษะเป็นของสูงไม่ควรมีสิ่งสกปรกติดออกมาหลังการคลอด จึงต้องโกนผมเก่าทิ้งไปเพื่อให้ผมใหม่ขึ้นมาแทน พิธีกรรมเริ่มขึ้นจากผู้สูงอายุจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย นำน้ำพระพุทธมนต์มาประพรมบนศีรษะเด็ก แล้วจึงใช้มีดโกนกริบที่เส้นผมของเด็ก จากนั้นพ่อแม่ญาติพี่น้องต่างทยอยกันโกนผมคนละเล็กละน้อยจนกระทั่งเกลี้ยงเกลา ผู้เป็นแม่จึงอุ้มเด็กไปทำความสะอาดร่างกายด้วยการอาบน้ำพระพุทธมนต์ ส่วนผมที่โกนทิ้งนิยมใส่ลงในกระทงเพื่อนำไปลอยน้ำต่อไป (กิตติภัต นันท์ธนะวานิช, 2545, หน้า 215-219)
ปัจจุบันพิธีการอยู่ไฟของชาวลาวเวียงเกิดการเปลี่ยนแปลงและสูญหาย เนื่องจากความเจริญทางการแพทย์และสาธารณสุข ที่มีอุปกรณ์การแพทย์ทันสมัยจึงส่งผลให้ประเพณีพิธีกรรมด้านการอยู่ไฟค่อย ๆ สูญหายไป
การเปลี่ยนสถานภาพ
ประเพณีการบวช
ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของชาวลาวเวียงที่สืบทอดกันมาตามความเชื่อทางพุทธศาสนาว่า เมื่อลูกชายอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ ก่อนมีเหย้ามีเรือนให้บวชเรียนอย่างน้อย 1 พรรษา เพื่อตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ พิธีกรรมการบวชจะจัดติดต่อกัน 3 วัน
วันแรกคือวันสุขดิบหรือวันเตรียมงาน ในวันนี้บรรดาญาติที่อยู่ห่างไกลจะเริ่มเดินทางมาร่วมงาน ส่วนญาติที่อยู่ใกล้เคียงจะมาร่วมช่วยงานที่บ้านของเจ้าภาพ ทั้งตระเตรียมอาหารและช่วยกันจัดแต่งสถานที่ จัดแต่งเครื่องอัฐบริขาร ห่อเครื่องไทยธรรม ทำผ้าคลุมไตร ตกต่างกรวยถวายอุปัชฌาย์ เตรียมชุดแต่งตัวให้นาค และจัดเตรียมดอกไม้ธูปเทียนสำหรับใช้ในงานพิธี
วันที่สองช่วงเช้าทำพิธีโกนผมผู้ที่จะบวช โดนเริ่มต้นการกริบผมจากผู้เป็นแม่ เพราะเชื่อว่าแม่เป็นบุคคลสำคัญที่สุดที่เลี้ยงดูบุตรให้เติบใหญ่ จากนั้นจึงตามด้วยพ่อและกลุ่มญาติสนิทโดยจะเรียงลำดับตามความอาวุโส เมื่อกริบเส้นผมครบทุกคนช่างจัดผมจึงจะโกนให้สะอาดเกลี้ยงเกลาอีกครั้ง สำหรับเส้นผมทั้งหมดจะใส่ในใบบัวเพื่อลอยในแม่น้ำต่อไป จากนั้นจะอาบน้ำให้กับผู้ที่จะบวช เพื่อให้เป็นผู้ที่สะอาดบริสุทธิ์ โดยมีพ่อแม่และกลุ่มญาติช่วยกันราดน้ำฟอกสบู่ถูตัว จากนั้นจึงพาไปเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวโดยนุ่งผ้าไหมผืนยาวสีขาว ไม่สวมเสื้อแต่ห่มผ้าแพรขาวเฉียงพาดไหล่ และใส่กระโจมหรือเทริดซึ่งมีลักษณะคล้ายกับชฎา และเปลี่ยนสถานภาพมาเป็น “นาค” ซึ่งหมายถึงผู้แสวงหาคุณความดี
จากนั้นเริ่มแห่นาคไปรอบ ๆ หมู่บ้าน ภายในขบวนแห่จะใช้ช้างเป็นพาหนะให้นาคนั่งแทนการเดิน เพราะเชื่อกันตามคติทศชาติชาดกในมหาเสสันดร ซึ่งเป็นชาติที่พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญทานบารมีก่อนเสด็จออกผนวช เมื่อจัดเตรียมริ้วขบวนแห่นาคเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตัวแทนของขบวนแห่จะโห่เพื่อเอาฤกษ์เอาชัย 3 ครั้ง แล้วจึงเริ่มเคลื่อนขบวน โดยนาคจะต้องสวมแว่นตาดำ ซึ่งหมายถึง ความมืดมนของนาคที่ยังไม่ได้ผ่านการอบรมสั่งสอนและขัดเกลาจิตใจจากหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา และต้องสวมเครื่องประดับต่าง ๆ เช่น สร้อยทอง แหวนทอง เข็มขัดเงิน อันเปรียบเสมือนเครื่องประดับชั้นสูงของกษัตริย์ นาคต้องพนมมือถือธูปเทียนอยู่บนหลังช้างตลอดเส้นทางจนถึงวัด โดยขบวนแห่จะนำหน้าด้วยกลองยาว ตามด้วยบรรดานางรำ พร้อมบทเพลงที่ใช้ร้องในขบวนเรียกว่า “เพลงแห่นาค” ซึ่งเป็นเพลงที่มีเนื้อหาคำร้องและท่วงทำนองในลักษณะของการเกี้ยวพาราสีกันระหว่างชายหนุ่มหญิงสาวและผู้ที่เป็นนาค จากนั้นตามด้วยขบวนผู้ถือเทียนเอก กรวยถวายอุปัชฌาย์ ผ้าไตร เครื่องอัฐบริขาร และเครื่องไทยธรรม เมื่อขบวนแห่เดินทางมาถึงวัด นาครับขันธ์ 5 สักการะศาลเจ้าที่ภายในวัด เพื่อบอกกล่าวและแสดงความเคารพและให้เป็นสักขีพยานในการบวชครั้งนี้ จากนั้นนาคจะเดินเข้าโบสถ์เพื่อรับศีล 5 จากกพระอุปัชฌาย์ แล้วจึงเคลื่อนขบวนกลับไปยังบ้านของนาค เมื่อถึงช่วงเวลาเย็นจะเป็นพิธีทำขวัญนาค เริ่มจากหมอขวัญจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัยและกล่าวคำอัญเชิญชุมชนเทวดา จากนั้นจึงเริ่มกล่าวบทสู่ขวัญ แล้วเชิญขวัญของนาคที่ไปอยู่ตามป่าตามเขาให้กลับมาสู่ตัวนาค รวมถึงกล่าวสอนเกี่ยวกับหลักในการประพฤติตนเมื่ออยู่ในเพศบรรพชิต และสุดท้ายกล่าวอวยชัยให้พรกับนาคจึงเป็นการเสร็จสิ้นพิธี
วันที่สามซึ่งเป็นวันสุดท้ายของงานบวช หลังจากรับประทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว จึงเริ่มจัดขบวนแห่ ซึ่งเริ่มด้วยกลองยาวเดินนำหน้าเหล่านางรำร้องเพลงและรำกันอย่างครื้นเครงตามด้วยนาคที่นั่งช้าง และพ่อนาคเดินอุ้มบาตรและตาลปัตรมาพร้อมกับแม่นาคที่อุ้มผ้าไตรและญาติพี่น้องที่มาร่วมงานจะช่วยกันถือข้าวของเครื่องใช้ เครื่องอัฐบริขาร เครื่องใช้ไทยธรรม ตามลำดับ เมื่อขบวนแห่เดินทางมาถึงวัดนาคนำขันธ์ 5 มาสักการะศาลเจ้าที่ภายในวัดอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นจึงเดินพร้อมขบวนแห่เวียนทักษิณาวัตร 3 รอบ เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อเขตสงฆ์ หลังจากนั้นนาคลงจากหลังช้างมาจุดธูปเทียนบูชาเสมาที่หน้าพระอุโบสถ พ่อแม่และญาติจะมาร่วมกันช่วยอุ้มนาคขึ้นไปส่งที่หน้าพระอุโบสถและผู้มาร่วมงานทุกคนจะพยามแตะหลังนาคต่อ ๆ กันไป ด้วยความเชื่อว่าเป็นการเกาะชายผ้าเหลืองขึ้นสวรรค์ เมื่อถึงหน้าอุโบสถแล้วนาคจึงโปรยทานเป็นการทำงานก่อนสละเพศเป็นบรรพชิต จากนั้นจึงเข้าสู่อุโบสถเพื่อทำพิธีสังฆกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ของคณะสงฆ์ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนจากการเป็นนาคมาสู่การเป็นพพระภิกษุ (กิตติภัต นันท์ธนะวานิช, 2545, หน้า 220-223)
ปัจจุบันพิธีการบวชยังได้รับการสืบทอดต่อกันมาแต่อาจมีการแปรเปลี่ยนไปตามความเหมาะสมของสภาพทางสังคม เช่น ผู้ที่จะบวชมีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป และระยเวลาของการถือเพศบรรพชิตอาจทำเพียง 7 วัน 9 วัน 15 วัน หรือ 1 เดือน หลังจากนั้นจะลาสิกขาบทออกไปประกอบภารกิจของตนเองต่อไป
การแต่งงานและการหย่าร้าง
ในอดีตการเลือกคู่ของชาวลาวเวียงมีอยู่ด้วยกัน 2 ลักษณะ ดังนี้ ลักษณะแรกพ่อแม่และญาติผู้ใหญ่เป็นผู้จัดหามาให้ อาจเกิดจากการที่พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายรู้จักกันมาก่อน ส่วนลักษณะที่สองเป็นการรักใคร่ชอบพอกันเองระหว่างหญิงชาย ซึ่งมีโอกาสได้พบปะพูดคุยกันในงานประเพณีต่าง ๆ แต่การพบปะพูดคุยสนทนากันระหว่างชายหนุ่มหญิงสาวต้องอยู่ในสายตาของพ่อแม่ฝ่ายหญิงตลอดเวลา หากการสนทนาเป็นไปได้ดีทั้งสองฝ่าย ฝ่ายชายจะบอกพ่อแม่ให้ไปสู่ขอฝ่ายหญิง เมื่อพ่อแม่ฝ่ายชายผู้ที่จะมาเป็นคู่ครองเห็นฝ่ายหญิงว่าอยู่ในช่วงวัยที่เหมาะสม เป็นคนขยันมีน้ำใจกิริยามารยาทเรียบร้อย ทอผ้าฝ้ายผ้าไหมได้เป็นอย่างดี มีความสามารถในการเรือน พ่อแม่ฝ่ายชายจึงส่งเถ้าแก่มาสู่ขอซึ่งมักเป็นผู้หญิงสูงอายุที่คนในหมู่บ้านนับถือ ส่วนพ่อแม่ฝ่ายหญิงจะพิจารณาคุณสมบัติของว่าที่ลูกเขยว่าผ่านการบวชเรียนเป็นพระภิกษุมาครบ 1 พรรษา ปฏิบัติหน้าที่รับราชการทหารหลังถูกหมายเกณฑ์เรียบร้อย อยู่ในวงศ์ตระกูลที่ดี เป็นคนขยันอดทน สามารถเป็นแรงงานของครอบครัวได้ พ่อแม่ของฝ่ายหญิงก็จะตอบรับการทาบทามจากเถ้าแก่
จากนั้นเถ้าแก่และครอบครัวฝ่ายชายจะเดินทางมาสู่ขอและตกลงค่าสินสอดกับครอบครัวฝ่ายหญิง พร้อมขันหมากที่ใช้ในพิธีสู่ขอซึ่งประกอบด้วย หมากพลู ยาสูบ อย่างละ 9 อัน พร้อมเงิน 4 บาทใส่ไว้ในขันเพื่อมอบให้กับพ่อแม่ฝ่ายหญิงพร้อมกับให้เป็นผู้เรียกร้องค่าสินสอด โดยจะเริ่มตั้งแต่ 10 บาทขึ้นไปและลงท้ายด้วยจำนวน 4 บาทเสมอ เพื่อเป็นค่าบูชาแก่ผีบรรพบุรุษของครอบครัวฝ่ายหญิง เมื่อตกลงเรียบร้อยแล้วพ่อแม่และญาติผู้ใหญ่ของฝ่ายชายจะนำด้ายสายสิญจน์มาผูกแขนและให้พรกับหญิงสาว ส่วนพ่อแม่และญาติผู้ใหญ่ของฝ่ายหญิงจะผูกแขนให้พรแก่ชายหนุ่ม แล้วพ่อแม่ของฝ่ายชายจึงนำวันเดือนปีเกิดของทั้งคู่ให้พระภิกษุทำการผูกดวงและหาฤกษ์ยามเพื่อจัดพิธีแต่งงานต่อไป ส่วนมากพิธีแต่งงานจะจัดขึ้นที่บ้านของฝ่ายหญิง เพราะตามธรรมเนียมลาวเวียงจะให้ฝ่ายชายเข้ามาอาศัยอยู่ร่วมครอบครัวกับฝ่ายหญิงระยะหนึ่งก่อนแยกออกมาสร้างรอบครัวของตนเอง
ก่อนถึงวันพิธี พ่อแม่ของฝ่ายหญิงจะใช้เวลาเตรียมงานก่อน 2 วัน วันแรกเป็นการตกแต่งสถานที่และทำความสะอาดบ้านเรือนเพื่อเตรียมต้อนรับญาติและแขกที่มาร่วมงาน มีการเตรียมอาหารทั้งคาวหวาน วันที่สองบรรดาเครือญาติและเพื่อนบ้านมาร่วมกันทำบายศรีสู่ขวัญให้กับคู่บ่าวสาวในพิธีสู่ขวัญ เมื่อถึงวันงานพิธีได้ฤกษ์ยามตามที่กำหนดไว้ พ่อแม่และญาติผู้ใหญ่ของฝ่ายเจ้าบ่าวจัดเตรียมขบวนแห่ขันหมากไปบ้านเจ้าสาว ในขบวนขันหมากประกอบด้วย เครื่องขันหมาก 3 ขัน มีขันใส่เงินค่าสินสอด ขันใส่หมากพลูใบเงินใบทอง และขันใส่เหล้าบุหรี่ โดยขันทั้งสามใบจะมีผ้าขาวทำเป็นกรวยครอบไว้เพื่อความเรียบร้อย นอกจากนี้จะมีเสื่อ 1 ผืน หมอน 2 ใบ ผ้าขาวม้า 2 ผืน ขันน้ำ โดยขันใส่เงินค่าสินสอดจะให้ญาติผู้ใหญ่ของฝ่ายชายเป็นผู้ถือและเดินนำหน้าขบวนแห่ขันหมาก ในขบวนแห่ขันหมากมีการตีกลองยาวร้องเพลงและรำประกอบไปตลอดเส้นทาง โดยมีเจ้าบ่าวเดินตามหลังกลุ่มผู้ร้องรำทำเพลง ถัดลงไปจึงเป็นญาติพี่น้องและบรรดาเพื่อน ๆ ที่มาร่วมงานช่วยถือสิ่งของต่าง ๆ เมื่อเข้าใกล้บ้านเจ้าสาวจึงโห่ร้องเป็นการส่งสัญญาณว่าขบวนขันหมากมาถึงแล้ว
เมื่อขบวนแห่มาถึงเจ้าบ่าวต้องชำระล้างเท้าก่อนขึ้นบ้านเจ้าสาว โดยจะมีน้องชายหรือน้องสาวของเจ้าสาวทำหน้าที่ถอดรองเท้าและล้างเท้าด้วยน้ำที่ผสมขมิ้น จากนั้นญาติพี่น้องของเจ้าสาวจะจูงเจ้าบ่าวขึ้นบ้าน โดยเจ้าบ่าวจะต้องเตรียมเงินเพื่อใช้สำหรับเป็นค่าเปิดทางของประตูเงินประตูทอง เมื่อพ่อแม่และเครือญาติของฝ่ายเจ้าบ่าวขึ้นมาบนบ้านของเจ้าสาวเรียบร้อยแล้ว จึงนำเครื่องขันหมากไปมอบให้แก่พ่อแม่เจ้าสาว แล้วญาติของทั้งสองฝ่ายนำค่าสินสอดออกมานับเมื่อครบตามจำนวน พ่อแม่ของฝ่ายเจ้าสาวนำเมล็ดถั่วเขียวและข้าวเปลือกโปรยลงที่สินสอด เพราะเชื่อว่าจะทำให้ค่าสินสอดมีจำนวนเงินเพิ่มมากขึ้นเหมือนกับการงอกของเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวและข้าวเปลือก จากนั้นหมอขวัญจึงทำพิธีสู่ขวัญให้คู่บ่าวสาว โดยจัดให้คู่บ่าวสาวนั่งตรงข้ามกับตนโดยมีเครื่องบายศรีสู่ขวัญคั่นกลาง และรายล้อมด้วยญาติพี่น้อง หมอขวัญเริ่มทำพิธีโดยจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย พร้อมทั้งกล่าวคำอัญเชิญเทวดาเพื่อมาเป็นสักขีพยานในการแต่งงานและคุ้มครองให้เกิดความเป็นสิริมงคลแก่คู่บ่าวสาว จากนั้นนำสายสิญจน์มาพันรอบเครื่องบายศรี แล้วส่งผ่านไปให้คู่บ่าวสาวก่อนจะส่งผ่านไปสู่ทุกคนที่มาร่วมงาน จากนั้นจึงเริ่มกล่าวบทสู่ขวัญ กล่าวสอนสั่งเกี่ยวกับการปฏิบัติตนในชีวิตคู่และจบด้วยการอวยชัยให้พร หลังจากนั้นหมอขวัญจะนำไข่ต้มที่ที่ผ่าซีกออกด้วยด้วยเส้นด้ายมาทายชีวิตคู่หลังการแต่งงานของบ่าวสาว การทำนายสังเกตจากลักษณะของไข่แดง หากว่าชีวิตคู่ของบ่าวสาวมีความสุขราบรื่นไข่แดงจะอยู่ตรงพอดี แต่หากไข่แดงเอียงไปข้างหนึ่งข้างใดหมอขวัญมักจะทำนายว่าชีวิตคู่หลังการแต่งงานไม่ราบรื่นนัก จึงต้องนำไข่ต้มอีกใบมาทำนายใหม่ ซึ่งหากผลการเสี่ยงทายออกมาเหมือนเดิม คู่บ่าวสาวต้องทำพิธีสะเดาะเคราะห์หลังพิธีแต่งงานแล้วเสร็จ เมื่อทำนายเสร็จแล้วหมอขวัญจะเลือกเอาไข่ต้มใบหนึ่งมามอบให้กับญาติผู้ใหญ่ของฝ่ายเจ้าสาวเพื่อนำไปป้อนให้กับคู่บ่าวสาว โดยใช้มือขวาป้อนไข่ต้มครึ่งหนึ่งให้กับเจ้าบ่าว และใช้มือซ้ายป้อนไข่อีกครึ่งหนึ่งให้กับฝ่ายเจ้าสาว
จากนั้นจึงนำสายสิญจน์ที่อยู่บนยอดของบายศรีมาผูกข้อมือให้กับคู่บ่าวสาวอีกครั้งหนึ่ง แล้วจึงให้พ่อแม่ของเจ้าบ่าวผูกข้อมือให้เจ้าสาว และให้พ่อแม่ของเจ้าสาวผูกข้อมือให้เจ้าบ่าว ซึ่งอาจมีการให้เงินในการผูกข้อมือด้วย เมื่อเสร็จพิธีเจ้าบ่าวรวมทั้งพ่อแม่และญาติจะเดินทางกลับบ้านก่อน รอจนถึงเวลาของพิธีส่งมาตัวมาถึงในตอนหัวค่ำของวันเดียวกัน แล้วญาติผู้ใหญ่ของแต่ละฝ่ายจะสลับกันจูงแขนคู่บ่าวสาวเพื่อไปส่งยังห้องหอ ที่ปูนอนไว้เรียบร้อยโดยผู้สูงอายุชายหญิงที่มีครอบครัวอบอุ่น ฐานะมั่นคง เมื่อเข้าไปถึงห้องนอนผู้สูงอายุชายหญิงจะล้มตัวลงนอนก่อนแล้วจึงลุกขึ้นมาให้คู่บ่าวสาวลงไปนอนด้วยกัน จากนั้นพ่อแม่ญาติผู้ใหญ่จึงให้คำอวยพร ให้คู่บ่าวสาวกราบไหว้กันเพื่อแสดงการยอมรับซึ่งกันและกันเป็นอันเสร็จพิธี (กิตติภัต นันท์ธนะวานิช, 2545, pp. 224-228)
ปัจจุบันพิธีการแต่งงานของชาวลาวเวียงมีการปรับเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อมทางสังคม เช่น การแต่งงานของคนปรับอายุสูงขึ้นประมาณ 28-35 ปี อันเป็นผลเนื่องมาจากการศึกษาที่ต้องใช้ระยะเวลามากขึ้น อีกทั้งความมีอิสระในการเลือกคู่ครองมักเปิดโอกาสให้ทั้งสองฝ่ายคัดเลือกคนที่ตนพึงพอใจจึงทำให้ช่วงอายุของการแต่งงานขยายออกไปสูงขึ้น
ความตายและการทำศพ
ในอดีตเมื่อบุคคลในครอบครัวเสียชีวิต ในช่วงแรกชาวลาวเวียงจะไม่ส่งเสียงดังเพราะเชื่อว่าจิตของผู้ตายยังไม่ดับสนิท จากนั้นคนในครอบครัวจะจุดเทียนขี้ผึ้ง 1 เล่ม เพื่อจับเวลาของจิต จนกระทั่งเทียนดับหมดเล่มแล้วจึงถือว่าผู้ตายได้เสียชีวิตลงแล้วอย่างแน่นอน จากนั้นจึงจุดพลุหรือยิงปืนขึ้นท้องฟ้า 1 นัด เพื่อกระจายข่าวให้กับเครือญาติและเพื่อนบ้านได้รับรู้ ลูกหลานจุดตะเกียงตามไว้ที่ปลายเท้าของผู้ตายพร้อมนำผ้าขาวมาคลุมศพไว้และผลัดเป
ผู้เรียบเรียงข้อมูล
กิตติภัต นันท์ธนะวานิช. (2545). การศึกษามานุษยวิทยาวัฒนธรรมของชุมชนลาวเวียง กรณีศึกษา หมู่บ้านหาดสองแคว ตำบลหาดสองแคว อำเภอตรอน จังหวัดอุตรดิตถ์. นครปฐม: บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล.
วศิน โต๊ะสิงห์และคณะ. (ม.ป.ป.). คุณค่าและภูมิปัญญาประเพณีบุญกลางบ้านกลุ่มชาติพันธุ์ลาวเวียง อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี. เข้าถึงได้จาก https://so06.tci-thaijo.org/index.php/ambj/article...
วลัยภรณ์ บุญศรีสุทธิ. ตำบลดอนคา อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี. โสภา ศรีสำราญ ผู้สัมภาษณ์. สัมภาษณ์เมื่อ พ.ศ. 2563
ผู้เรียบเรียงข้อมูล