2025-02-11 10:29:55
ผู้เข้าชม : 1495

ลาวแง้ว มีถิ่นฐานดั้งเดิมในเมืองเวียงจันทน์ สปป.ลาว เป็นกลุ่มที่มีการอพยพเข้ามาในประเทศไทยพร้อมกับชาวลาวเวียงและลาวครั่ง ในสมัยรัชกาลที่ 3 ศึกเจ้าอนุวงศ์ ปัจจุบันตั้งถิ่นฐานอย่างหนาแน่นในจังหวัดเพชรบุรี  ชาวลาวแง้วมีการนับถือผีปู่ตา ซึ่งเชื่อว่าเป็นผีดีที่ทำหน้าที่คุ้มครองสมาชิกในหมู่บ้าน รวมทั้งเมื่อเกิดปัญหา เช่น ของหาย หรือมีเคราะห์ จะมีการบอกกล่าวและบนบานผู้ปู่ตา

  • ข้อมูลพื้นฐาน
  • ประวัติศาสตร์
  • การตั้งถิ่นฐานและกระจายตัว
  • วิถีชีวิตและวัฒนธรรม
  • งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
  • อ้างอิง

ชื่อกลุ่มชาติพันธุ์ : ลาวแง้ว
ชื่อเรียกตนเอง : ลาวแง้ว
ชื่อที่ผู้อื่นเรียก : ลาวแง้ว
ตระกูลภาษา : ไท
ตระกูลภาษาย่อย : ไต-ไต
ภาษาพูด : ภาษาลาวเเง้ว
ภาษาเขียน : ไม่มีตัวอักษรที่ใช้เขียน

ผู้เรียบเรียงข้อมูล

จากงานวิจัยต่าง ๆ ทำให้เกิดข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับการเดินทางเข้ามาของกลุ่มคนลาวในอดีต จากเอกสารประวัติศาสตร์ที่ปรากฏอยู่อย่างไม่ชัดเจนบ้าง จากคำบอกเล่าบ้าง พบว่าลาวแง้วน่าจะถูกกวาดต้อนมาพร้อมกับกลุ่มลาวจากหัวเมืองแถบหลวงพระบาง เดินทางมาจากลาวในช่วงเหตุการณ์กบฏเจ้าอนุวงศ์ (การเรียกว่า กบฏเจ้าอนุวงศ์ เรียกโดยรัฐไทยในกรุงเทพ ฝั่งลาวไม่เรียกเช่นนี้) ศึกเจ้าอนุวงศ์เกิดขึ้น ๒ ครั้ง คือ พ.ศ. ๒๓๗๑ และ ๒๓๗๓ รัชกาลที่ ๓ สั่งเผาเมืองเวียงจันทน์ แล้วต้อนผู้คนมายังพระนครหลายระลอกเป็นจำนวนมาก มากจนมีคำกล่าวว่า กวาดลาวมาครึ่งประเทศ ความรู้สึกนั้นยังถูกถ่ายทอดสู่ลูกหลานลาวจนปัจจุบัน กลุ่มคนลาวถูกกวาดต้อนมาดั่งเชลยศึกมีทั้งกลุ่มพวนและไทดำเดินทางมาด้วย

ย้อนกลับไปเมื่อครั้งสมัยอยุธยาที่มีการกวาดต้อนผู้คนมาจากที่ต่าง ๆ ก็ไม่ได้จำแนกคนที่ถูกกวาดต้อนมาว่าเป็นคนกลุ่มใด เรียกรวม ๆ ว่า ลาว ซึ่งเป็นการเรียกที่ดูถูก หมายถึงคนที่อยู่ทางเหนือ หัวเมืองภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น เชียงใหม่ หลวงพระบาง จำปาศักดิ์ เรื่อยไปถึงสิบสองจุไท กลุ่มไทดำ ลาว ซึ่งส่วนใหญ่พูดภาษาไท - ลาว อย่างคำเรียกมณฑลลาวพุงดำ ลาวพุงขาว ลาวพุงดำคือคนที่สักร่างกาย สักขา สักรูปมอมหรือสักดำทึบ การเรียกที่ดูถูกยังปรากฏอยู่ในวรรณกรรม เช่น ขุนช้างขุนแผน ผู้หญิงลาวถูกเรียก อีลาว กินกบ กิ้งก่า

จนกระทั่งต้นสมัยรัตนโกสินทร์ คนลาวถูกกวาดต้อนยกครัวมาอีกระลอก ให้อยู่นอกพระนครทำงานเป็นไพร่หลวงต้องส่งส่วยให้ราชสำนัก มีการกวาดต้อนผู้คนจากเชียงแสนเข้ามาอยู่รอบ ๆ พระนคร ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินที่เดินทางมาส่วนใหญ่เป็นกลุ่มลาวพวน แต่จะมีกลุ่มอื่นปะปนมาบ้าง ไม่มีการบันทึกจากเอกสารประวัติศาสตร์ว่าพวนทำไมถึงเข้ามาอยู่บ้านหมี่ ลพบุรีจำนวนมาก และทำไมกระจายอยู่บ้านหนองเมืองและทองเอนสิงห์บุรี แต่มีสิ่งที่ติดตัวมาคือ การร่อนทองคำผุยในแม่น้ำเจ้าพระยา ช่วงต้นรัชกาลที่ ๓ มีเอกสารพูดถึงการส่งทองคำผุย หากเป็นไพร่หลวงต้องส่งส่วยให้รัฐแล้วรัฐเอาไปขาย ต่อมามีการร่อนทองกันน้อยลง หันมาปลูกข้าวทำนา

จากตารางแสดงลำดับของการโยกย้ายถิ่นฐานของผู้ที่ถูกเรียกว่าลาว ในเอกสาร (รุจิรา เชาว์ธรรม, ๒๕๔๕) ในสมัยกรุงธนบุรีและต้นรัตนโกสินทร์ ที่ระบุถึง ลาวแง้ว แต่ยังอยู่ในข้อสงสัย อาทิ ช่วง พ.ศ. ๒๓๓๒ เมืองหลวงพระบาง ส่งครัวลาวจากเมืองสามมิ่น เมืองเพวิง เมืองเลย เมืองแก่นท้าวมายังเมืองพิษณุโลกก่อน แล้วให้ไปตั้งหลักแหล่งอยู่กับพวกเดียวกัน และในปีเดียวกันนั้นได้ส่งครัวลาวหลวงพระบางไปอยู่ยังเมืองพรม ๖๐๐ กว่าคน และแบ่งไปยังบ้านอรัญญิกและกรุงเทพฯ ด้วย จากเอกสารจดหมายเหตุรัชกาลที่ ๓

พ.ศ. ๒๓๗๓ โปรดเกล้าฯ ให้ไปชำระครัวลาวที่เมืองหลวงพระบางกวาดต้อนมาจากเมืองเลย เมืองลม เมืองแก่นท้าว เมืองปากลาย เมืองเวียงจันทน์ เมืองภูเวียง เมืองภูครัง มาไว้ที่เมืองพิชัย ซึ่งมีการส่งมาถึง ๗ ครั้ง รวมประมาณหมื่นหกพันคนเศษ โปรดเกล้าฯ ให้ไปอยู่กับพวกที่เคยอยู่มาก่อน จากเอกสารจดหมายเหตุรัชกาลที่ ๓

สันนิษฐานว่ากลุ่มลาวแง้ว มาจากสองทิศทาง หนึ่งเดินทางมาจากปากลาย (สปป.ลาว) มาอุตรดิตถ์ เข้าเขตเพชรบูรณ์ เรื่อยมาจนแวะพักที่เมืองพิชัย จังหวัดพิษณุโลก และอีกกลุ่มหนึ่งมาจากเมืองแก่นท้าวข่ามน้ำเหือง ลงมาทางเมืองหล่ม จังหวัดเพชรบูรณ์ด้วย

จากการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นและกลุ่มชาติพันธุ์ลาวแง้ว ในเขตจังหวัดสิงห์บุรี สระบุรี และนครสวรรค์ โดย รุจิรา เชาว์ธรรม สมปอง บุณเติร และวลัยลักษณ์ ทรงศิริ ทีมวิจัยนรินทร์ พันธ์รอบ สุนทรีย์ นิมาภัณฑ์ (๒๕๔๕) พบว่า มีลาวแง้วอยู่ ๒ กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มหนองเมือง อำเภอบ้านหมี่ ลพบุรี และกลุ่มบ้านทองเอน บ้านไผ่ดำ ตำบลทองเอน อำเภออินทร์บุรี สิงห์บุรี ซึ่งอยู่ฝั่งตะวันออกแม่น้ำเจ้าพระยา นอกจากนี้ยังกระจายอยู่บริเวณ อำเภอโคกสำโรงจังหวัดลพบุรี อำเภอหนองโดน บ้านหมอ จังหวัดสระบุรี ลาวแง้วแต่ละกลุ่มจะแตกต่างกับ

คนเชื้อสายลาวแง้วในสิงห์บุรีเล่าถึง ครั้งแรกเมื่อมาตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณวัดสาธุการาม บ้านสิงห์ ตำบลโพงพางเสือ อำเภอบางระจัน ต่อมากระจายย้ายที่อยู่ตามลำน้ำเจ้าพระยา อำเภออินทร์บุรี แถบวัดม่วงและวัดโพธิ์ศรี และตำบลทองเอน และยังอยู่รวมกันแถววัดท่าอิฐ วัดเกาะแก้ว วัดตุ้มหู บางโฉมศรี ตำบลบุ่งน้ำร้าย นอกจากนี้ยังขยับขยายพื้นที่ทำกินไปยัง อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ อำเภอชัยบาล จังหวัดลพบุรี อีกด้วย

ในอดีตลาวแง้ว ลาวพวนอยู่ในเขตสนามแจง อำเภอบ้านหมี่ ชุมชนคมนาคมทางเรือคลองสนามแจงบริเวณแถบนี้มีบ้านอยู่อาศัยไม่กี่หลัง จนมีการแต่งงานเป็นชุมชนขยายไปอยู่จันเสน รวมถึงคนพวน คนจีน และคนแม่น้ำที่ไม่มีที่ทำกินต่างขยับเข้าไปในดินแดนห่างฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาลงมาทางคลองสนามแจง

สำหรับการตั้งชื่อหมู่บ้านหากเกิดการย้ายบ้านจะนำชื่อเดิมจากถิ่นที่เคยอยู่ มาใช้ตั้งเป็นชื่อบ้านใหม่ด้วย เช่น ย้ายมาจากบ้านน้ำจั้นที่ลาว มาอยู่อำเภอเมืองลพบุรี ก็ตั้งชื่อว่าบ้านน้ำจั้นตาม


ผู้เรียบเรียงข้อมูล

ชาวลาวแง้วนั้นมีการตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณภาคกลาง บริเวณจังหวัด ลพบุรี สระบุรี นครนายก ปราจีนบุรี ชลบุรี ฉะเชิงเทรา สุพรรณบุรี นครปฐม ราชบุรี แต่โดยส่วนใหญ่แล้วจะตั้งถิ่นฐานอยู่ในจังหวัดลพบุรี ตั้งอยู่ในหมู่บ้านต่าง ๆ ชาวลาวแง้วที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในจังหวัดลพบุรีนั้น จะตั้งอยู่ที่บริเวณพื้นที่อำเภอบ้านหมี่และอำเภอบ้านโคกสำโรงมากที่สุด นอกจากนี้ก็ยังมีชาวลาวแง้วอาศัยอยู่อีกหลายที่ อย่างชาวลาวแง้วดั้งเดิมนั้นจะอาศัยอยู่ที่อำเภออินทร์บุรี และยังมีตามอำเภออื่น ๆ อีกมากมายอย่าง อำเภอตาคลี อำเภอชัยบาดาล อำเภอบางระจัน เป็นต้น


ผู้เรียบเรียงข้อมูล

การดำรงชีพ

ส่วนใหญ่ลาวแง้วที่อยู่ภาคกลางมักทำการเกษตร โดยเฉพาะทำนาปลูกข้าว พื้นที่ทำนาถูกปรับพัฒนาอยู่เป็นระยะอย่างต่อเนื่อง จากอดีตมีการส่งส่วยให้รัฐเพราะเป็นเชลยศึกสงคราม ต่อมารัฐมีการพัฒนาพื้นที่ภาคกลาง ทำระบบชลประทาน เพื่ออำนวยการปลูกข้าวของราษฎร

การทำนาบ้านน้ำจั้นอดีตทำนาแบบไว้บริโภคเองในครอบครัว หากเหลือก็เก็บไว้ บ้างนำไปแลกอย่างอื่นเป็นการทำนาแบบยังชีพรอน้ำฝนเพียงอย่างเดียว หากใครต้องการข้าวมากขึ้นก็จะซื้อที่นาเพิ่มหรือถางเพิ่ม จับจองเพิ่ม ต่อมาช่วงปี ๒๔๘๙ มีชลประทาน สามารถทำนาแบบไม่ต้องรอฝน มีน้ำใช้ระหว่างฤดู เริ่มใช้วัวควายมาช่วยทำนาเป็นเครื่องทุ่นแรง ต่อมาใช้รถไถนา พอหมดหน้านาชาวบ้านปลูกถั่วดิน หรือ ถั่วลิสง งา ต่อมามีการทำนา ๒ ครั้ง เรียก นาปรัง การทำนาปรัง ทำให้ชาวนาเริ่มใช้เงิน เมื่อเงินไม่พอก็กู้เงินเจ๊กหรือรายทุนในตลาด เอาที่ดินไปจำนอง เอาเงินมาใช้ พอครบสัญญาไม่มีเงินส่ง เจ๊กจะคิดดอก บางทีก็ต้องซื้อรถ ซื้อวัว ซื้อควาย เงินไม่พอคืนเจ็กก็ถูกคิดดอกทบต้นทบดอก จนต้องขายที่นา (รายงานการประชุมเสนอผลการวิจัย)

วิธีการทำนาปรังเริ่มจากใช้รถไถผืนดิน คราดดินให้เตียน รวมทั้งปั่นดินให้เตียน เรียกว่า การทำนาน้ำตม พอผืนดินเตียนเริ่มหว่านข้าว ก่อนหว่านข้าวจะนำไปแช่น้ำไว้ ๒ คืน ให้ข้าวงอก แล้วจึงนำข้าวไปหว่าน ก่อนจะเกี่ยวข้าวจะคอยสังเกตดูว่ามีหนอนและเพลี้ยหรือไม่ ถ้ามีเกษตรอำเภอจะมาให้คำแนะนำ บางครั้งนำยาฆ่าแมลงมาให้ พอข้าวเหลืองเตรียมจ้างรถมาเกี่ยว ได้ข้าวมานำข้าวมาตากให้แห้งเพื่อรอจำหน่าย หากไม่ขายเก็บไว้ทำพันธุ์ในฤดูต่อไป

การทำนาที่บ้านหนองเมือง มักปลูก “หอม” เป็นอาชีพเสริม ทอผ้า และมีบางที่ให้เช่าทำสวนส้ม มีกรณีที่ชาวบ้านให้เช่าพื้นที่ที่ใกล้คลองชลประทานเพื่อทำสวนส้ม ถึงคราที่ชาวนาเจ้าของที่จะทำนาปรัง ซึ่งต้องใช้น้ำ ๒ ครั้งต่อปีในการทำนา และการนำน้ำมาใช้เพื่อทำนาต้องผ่านพื้นที่ของสวนส้ม จึงทำให้ผู้ที่มาเช่าที่ทำสวนส้มไม่ยอมให้สวนเป็นทางน้ำผ่าน จึงมีการขายน้ำเพื่อให้ชาวนาได้ทำนาปรัง นอกจากนี้ในการทำสวนส้มต้องพึ่งยาฆ่าแมลงเป็นจำนวนมาก

และยังมีปัญหาอื่น ๆ ตามมา เช่น เมื่อชาวนาต้องปลูกข้าวเพื่อได้ปริมาณมาก การใช้สารเคมีต่าง ๆ มักมาพร้อมกันเสมอ รวมทั้งการกู้เงินเพื่อทำนาทั้งในระบบและนอกระบบ ทำให้ชาวนาต้องรีบทำการปลูก เก็บเกี่ยว และส่งขาย ส่งผลให้บางพิธีกรรม เช่น การเอิ้นขวัญข้าว หรือทำขวัญข้าว เชิญข้าวเข้ายุ้ง เริ่มไม่มีและลดน้อยลง เพราะชาวนาไม่มีเวลา ทุกอย่างต้องรีบเพื่อขายและนำรายได้ไปใช้หนี้

โครงสร้างทางสังคม

โครงสร้างทางสังคม แต่เดิมสังคมของชาวลาวแง้วจะเป็นสังคมปิดและเป็นสังคมแบบพึ่งพา คือไม่มีการติดต่อไปมาหาสู่กับคนในชุมชนอื่น เหตุเพราะ เขตที่ตั้งหมู่บ้านเป็นที่ลุ่ม และป่าทึบอยู่ล้อมรอบ การคมนาคมไม่สะดวก นอกจากจะต้องเดินทางด้วยเรือแล้วยังต้องเดินเท้าผ่านป่าอีกด้วย หากไม่มีความจำเป็นจริง ๆ แล้วชาวลาวแง้วก็จะไม่เดินทางไปไหน อีกประการหนึ่ง ชุมชนที่อยู่ใกล้เคียงก็เป็นชุมชนของพวนซึ่งเป็นชุมชนที่ใหญ่กว่า พวกพวนถือว่าเป็นคนละกลุ่มกับชาวแง้วและมีความรังเกียจชาวลาวแง้วไม่คบหาสมาคมด้วย ชาวแง้ว จึงขาดการติดต่อกับกลุ่มชนอื่นไปโดยปริยายอีกทั้งบริเวณที่ตั้งชุมชนของชาวลาวแง้วนี้ก็อุดมสมบูรณ์มาก ชาวลาวแง้วจึงสามารถที่จะอยู่โดยลำพังเฉพาะในกลุ่มของตัวเองได้อย่างไม่ลำบาก นอกจากนี้ คนในชุมชนส่วนใหญ่ก็เป็นญาติพี่น้องกันจึงพึ่งพาอาศัยกัน ในเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิตได้ ทำให้ไม่มีความเดือดเนื้อร้อนใจต่อการที่ไม่ได้ติดต่อกับกลุ่มชุมชนอื่น แต่ปัจจุบันมีการพัฒนาทางด้านการคมนาคมอย่างมากมาย ทำให้เดินทางได้สะดวกขึ้นมาก ชาวลาวแง้วจึงเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่เคยเป็นสังคมปิดมา เป็นสังคมเปิด คือมีการติดต่อกับชุมชนอื่นมากขึ้น เช่น มีการ ทำบุญร่วมกับชาวพวน มีการติดต่อซื้อขายกับชนกลุ่มอื่น มี การส่งลูกหลานไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนอำเภอบ้านหมีหรือที่ โรงเรียนในจังหวัด ฯลฯ

ชาวลาวแง้วมีความเชื่อเกี่ยวกับปู่ตาหรือวิญญาณของคนเฒ่า คนแก่ที่ตายไปแล้วและให้ความนับถือมากจึงได้ช่วยกันทำศาลเพียงตาหรือปัจจุบันเรียกศาลเจ้าพ่อ โดยทุก ๆ เดือน 6 ชาวบ้านจะร่วมทำพิธีเซ่นไหว้เพื่อแสดงความเคารพต่อผีที่คุ้มครองหมู่บ้านความเชื่อเกี่ยวกับวิญญาณ และผี ชาวลาวแง้วมีความเชื่อเกี่ยวกับผีทุ่ง ผีนา ผีเรือน ผีปอบ ผีกะ จึงมีการทำพิธีเซ่นไหว้ผีต่าง ๆ ด้วย นอกจากนี้ชาวลาวแง้วมีคติความเชื่อในหลาย ๆ สิ่ง อย่างเช่นเชื่อใน "คุณพระ" ซึ่งคุณพระอาจจะเป็นรากไม้หรือสิ่งอื่น ๆ ที่นำมาบูชาไว้ในหิ้งพระ พวกเขาเชื่อว่าสามารถคุ้มครองภัยอันตรายและช่วยให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บได้ โดยคุณพระนี้จะไม่มีทุกบ้าน และเมื่อถึงวันขึ้น 13 ค่ำ เดือน 12 บ้านที่มีคุณพระก็จะต้องทำพิธีไหว้ครู โดยที่ผู้ที่อยู่ใกล้เคียง หรือผู้ที่เคยรักษาโรคจากคุณพระก็จะมาร่วมไหว้ครูด้วย

การสืบเชื้อสายลาวแง้วยังสามารถถามจากเรื่องการนับถือศาลตาปู่ได้ หากมีการนับถือและเรียกว่า ผีตาปู่ สามารถสันนิษฐานได้ว่าเป็นลาวแง้ว ส่วนใหญ่ลาวแง้วจะนับถือผีตาปู่ (ไทยอีสานจะเรียกผีปู่ตา) ผีตาปู่เป็นผีดีคอยคุ้มครองสมาชิกในหมู่บ้าน หากชาวบ้านเกิดมีปัญหา อาทิ ของหาย มีเคราะห์ จะพากันไปบอกและบนบานผีตาปู่ประจำหมู่บ้าน การเลี้ยงผีตาปู่ประจำหมู่บ้านจะจัดขึ้นประมาณเดือน ๖ วันอังคาร ในพิธีจะเลี้ยงผีตาปู่ด้วยไก่ต้มเป็นตัว หมูต้มยกมาทั้งแถบไม่ใช่เป็นชิ้นเล็ก ๆ ขนมต้ม (ขนมก้อนกลม ๆ แป้งต้มกับน้ำตาลมีตัวขาวตัวแดง) และ เหล้า

จากเดิมมีเพียงศาลตาปู่ที่คนเคารพนับถือ และส่วนใหญ่ศาลจะอยู่ในป่า ในปัจจุบันการนับถือปรับเปลี่ยนไป บางบ้านเรียกผีตาปู่เป็นเจ้าพ่อตาปู่ อาทิ บ้านน้ำจั้น ลพบุรี ในพื้นที่นี้ไม่ปรากฏการนับถือผีตาปู่ที่อยู่ในป่าลึกครึ้ม แต่จะมีผีตาปู่หนองน้ำแทน เนื่องจากพื้นที่น้ำจั้นเป็นพื้นที่มีน้ำผุด และบริเวณนั้นจะไม่ให้จับปลา การตั้งศาลจะปรับเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อมของชุมชน บ้างบ้านมีคนทรงเจ้าพ่อตาปู่ ได้แก่ บ้านโป่งน้อย อำเภอเมือง บ้านหนองเมือง อำเภอบ้านหมี่ ลพบุรี ส่วนบ้านไผ่ใหญ่ อำเภอบ้านหมี่ ลพบุรีไม่มีคนทรง การเลือกคนทรงจะเป็นผู้หญิงที่มีความพฤติกรรมดี เวลาเข้าทรงจะดื่มเหล้า สูบบุหรี่ พูดภาษาไทยอีสานไม่พูดภาษาลาวแง้ว มีการแสดงรำวงรื่นเริงต่าง ๆ ผิดจากแต่ก่อนมีเพียงแค่อาหารใส่ถาด ไม่มีการแสดงใด ๆ

การนับถือผีตาปู่แต่ก่อนจะมี จ้ำ หรือคนที่ดูแลพิธีกรรมในการไหว้ผีตาปู่ ต้องเป็นผู้ชายเท่านั้น แต่ปัจจุบันไม่มีแล้ว ในตอนนั้นไม่ได้เรียกว่านางเทียม จะเรียกเทียม หมายถึงอาการทรง เรียกคนทรงว่า ร่างทรง มีการเข้าทรงเจ้าพ่อ ช่วง ๒๐ ปีหลัง (อ้างรุจิรา, ๒๕๔๕) มีการสร้างเรื่องราวของบรรพบุรุษขึ้นมาให้ เมื่อสอบถามเจ้าพ่อว่ามาจากไหน มักตอบว่า “มาจากเวียงจันทน์ ขี้ม้าแก่มา เหนื่อยมาก” เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คนลาวแง้วส่วนใหญ่มักตอบเสมอว่า บรรพบุรุษมาจากเมืองเวียงจันทน์ แต่ตอบไม่ได้ว่ามาจากเมืองอะไร เพราะความทุกข์มันถูกสะสมอยู่ที่เวียงจันทน์ สร้างความรู้สึกร่วมว่า เรายังเป็นเชลยศึก มีความต่ำต้อยอพยพมาอยู่กับคนที่ชนชั้นสูงกว่า

ประเพณี เทศกาล และพิธีกรรม

ประเพณี เทศกาลและพิธีกรรมสำคัญในรอบปี

ประเพณีเพาะกระจาด โดยมากจะจัดช่วงปลายเดือนกันยายน ผู้มาร่วมประเพณีต้องเอาของกำนัล อาหาร หรืออะไรที่พอจะติดไม้ติดมือมาให้เจ้าภาพ มาร่วมทำบุญติดกันเทศน์ในบุญผเวส เทศน์มหาชาติ ทำบุญด้วยผลไม้เพราะเชื่อว่าผลไม้แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ ทั้งยังอิงกับพระเวชสันดรชาดกตอนนางมัทรีเดินทางอยู่ในเขาวงกต เจ้าบ้านหรือเจ้าภาพจะทำการเลี้ยงอาหารเป็นการตอบแทนผู้มาร่วมบุญ จะทำอาหารเลี้ยงโดยเฉพาะขนมเส้นหรือขนมจีนด้วยความเชื่อที่ว่าชีวิตยืนยาวมีหลักธรรมสามัคคี และขนมมัด พร้อมทั้งจะรวบรวมปัจจัยไปทำบุญที่วัด มีการเทศน์มหาชาติจบภายในวันเดียว บรรยากาศที่ตกแต่งในวัดคล้ายป่าหินพานต์ ตกแต่งด้วยผลไม้ กล้วย อ้อย รวงผึ้ง อิงกับเรื่องเล่าเมื่อสมัยพุทธกาลตอนพระพุทธเจ้าปฏิบัติธรรมในป่า มีช้างถวายกล้วยให้พระพุทธองค์ และลิงเห็นช้างถวายจึงถวายรวมผึ้งให้พระพุทธองค์บ้าง ก่อนถึงวันงานบุญชาวบ้านจะร่วมทำเส้นขนมจีนเป็นการสร้างความสามัคคีในชุมชน สำหรับการเป็นเจ้าภาพกัณฑ์เทศน์ทั้ง ๑๓ ชาวบ้านจะมาจับฉลากว่าตนเองได้ดูแลกัณฑ์เทศน์ใด และจัดทำต้นกัณฑ์เทศน์ถวายวัด

ระหว่างช่วงงานเทศน์มหาชาตินี้บ้านทองเอนมีประเพณีแห่ข้าวพันก้อน มักจัดขึ้นช่วง ๑๒ และ ๑๓ ค่ำเดือน ๑๑ เป็นพิธีกรรมหนึ่งในเทศน์มหาชาติ ตกแต่งบนวัดคล้ายป่าหินมาพานต์ ชาวบ้านจะนำธงจำนวนเท่าอายุมาประดับตามเสาเพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์ ชาวบ้านจัดเตรียมข้าวของเพื่อประกอบพิธี ได้แก่ เมี่ยงห่อใบชะพลู ปั้นข้าวเหนียวนึ่งใส่กระทงใบตอง แล้วนำไปวางไว้หน้าธรรมมาสตร์ การปั้นข้าวเหนียวเรียกว่า การพันข้าว ไม่ใช่จำนวนหนึ่งพันก้อน เพื่อนำมาบูชาคถากัณฑ์ การบูชาจะทำตอนกลางวันบนศาลาการเปรียญ โดยจุดเทียนปักไว้ในจานที่มีข้าวเหนียวปั้น และเดินรอบธรรมมาสตร์บนศาลาจำนวน ๓ รอบการฟังเทศน์มหาชาติ

นอกจากนี้ยังมีประเพณีลอยกระทงที่สืบสานมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ทางชาวบ้านได้มีการจัดขบวนแห่พื้นบ้านด้วยเกวียนรอบหมู่บ้าน โดยทุก ๆ ปีจะมีการจัดงานซึ่งเป็นไปอย่างเรียบง่ายและผู้ร่วมงานต่างแต่งกายด้วยผ้าซิ่นหลายสีสันอย่างสวยงาม และมีการนำดอกทานตะวันที่ปลูกมากในพื้นที่จังหวัดลพบุรีมาประดิษฐ์เป็นกระทง ซึ่งใช้ดอกทานตะวันพิเศษดอกใหญ่ที่นำจากเกษตรกร นำมาประดับด้วยธูป - เทียน เพื่อนำไปลอยลงสายน้ำในคืนเดือนเพ็ญ 12


ผู้เรียบเรียงข้อมูล

joshuaproject. (2016). ลาวแง้วในประเทศไทย. (ออนไลน์). สืบค้นเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2559. เข้าถึงได้จาก https://joshuaproject.net/people_groups/19264/TH

วลัยลักษณ์ ทรงศิริ. (2559). ลาวในเมืองไทยกลุ่มชาติพันธุ์ที่ครุมเครือ.

ผู้เรียบเรียงข้อมูล


close
ลืมรหัสผ่าน?
กรุณากรอกอีเมลที่ท่านสมัครสมาชิกไว้เพื่อรับรหัสผ่านใหม่
ระบบจัดส่งการสร้างรหัสผ่านใหม่ให้ท่านทางอีเมลเรียบร้อยแล้ว
นโยบายความเป็นส่วนตัว