ลัวะ (ลเวือะ) ตั้งถิ่นฐานกระจายตัวใน 6 ประเทศ คือ จีน เมียนมา ลาว เวียดนาม กัมพูชา และไทย การตั้งถิ่นฐานในประเทศไทยส่วนใหญ่กระจายตัวอย่างหนาแน่นในจังหวัดแม่ฮ่องสอนและเชียงใหม่ คนกลุ่มนี้มีวิถีการดำรงชีพที่ให้ความสำคัญกับความเชื่อและพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเลี้ยงผีที่มีมากที่สุดในประเทศไทย รวมทั้งมีวิถีการดำรงชีพด้วยการทำไร่หมุนเวียนและเลี้ยงสัตว์เพื่อใช้ประกอบอาหารและใช้ในพิธีกรรมการเลี้ยงผี ในขณะที่ชาวลัวะ (ละเวือะ) บางหมู่บ้านได้หันไปปลูกพืชเศรษฐกิจเพื่อสร้างรายได้ในครัวเรือน
ชื่อกลุ่มชาติพันธุ์ : ลัวะ (ละเวือะ)
ชื่อเรียกตนเอง : ลเวือะ, อเวือะ, เลอเวือะ, ลวะ, ละว้า
ชื่อที่ผู้อื่นเรียก : ลัวะ, ละว้า, ถิ่น,
ตระกูลภาษา : ออสโตรเอเชียติก
ตระกูลภาษาย่อย : มอญ-เขมร
ภาษาพูด : ลัวะ
ภาษาเขียน : ไม่มีตัวอักษรที่ใช้เขียน
ในอดีตการเรียกชื่อ “ลัวะ” นั้นเป็นชื่อที่กลุมคนท้องถิ่นเรียกคนที่อาศัยอยู่ในป่าในเขตพื้นที่ภาคเหนือตอนบน เป็นเชิงการเรียกแบบเหมารวม อย่างไรก็ตามหลายกลุ่มชาติพันธุ์ ยอมรับได้เงื่อนไขการเรียกชื่อ “ลัวะ” ทั้งที่ชื่อนั้นไม่ใช่ชื่อเรียกของตนเอง อีกทั้งเมื่อหน่วยงานรัฐมีการสำรวจกลุ่มบนพื้นที่สูง ชื่อของลัวะ จึงมีจำนวนมาก และกระจัดกระจายในหลายถิ่นที่ และหลายกลุ่ม หลายพื้นที่มีระบบสังคมและวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน การยอมรับยอมรับคำว่า “ลัวะ” เพื่อมาใช้แทนชื่อเรียกตนเองก่อให้เกิดความสับสนทั้งในเชิงของการให้นิยามและการนับจำนวนกลุ่มชาติพันธุ์ ลัวะในแต่ละบริบทพื้นที่ต่างก็มีชื่อเฉพาะที่ใช้เรียกตัวเองที่แตกต่างกันทั้งในมิติสำเนียงภาษา รวมทั้งมิติการสร้างตัวตนและให้นิยามความหมายใหม่ ส่งผลให้การ “เรียกชื่อ” ของกลุ่มคนที่ถูกเรียกว่า ลัวะ ในแต่ละชุมชนแตกต่างกันออกไป
ชนชาติลัวะกระจายตัวอยู่ใน 6 ประเทศ คือ จีน พม่า ลาว เวียดนาม กัมพูชา และไทย (บุญช่วย, 2506, น.138) ในพงศาวดาร เล่าว่า ในลวรัฐ ก่อนขอมเข้ามามีอำนาจ สมัยพระนางจามเทวี เคยทำสงครามกับชาวลัวะ ปฐมพงศาวดารเมืองเงินยางเชียงแสน กล่าวว่ามีชาวลัวะอยู่บริเวณดอยตุง และตำนานพระธาตุภาคเหนือ กล่าวถึง ชนชาติลัวะก่อนชนชาติไทยและขอม พงศาวดารเชียงตุง เขียนว่าคนทั้งหลายออกมาจากน้ำเต้าใบเดียวกัน ลัวะ ออกมาเป็นกลุ่มแรก กะเหรี่ยงออกมาเป็นกลุ่มที่สอง ต่อมาเป็นคนไทย (บุญช่วย 2506, น.138-139) อาณาจักรของลัวะ จึงครอบคลุมบริเวณแหลมสุวรรณภูมิ และเขตมณฑลยูนนานตอนใต้ เมื่อถูกขอม เขมร ไทย ลาว จาม และเวียดนามรุกรานก็พากันแตกพ่ายไปอยู่ตามป่าเขาห่างไกล (บุญช่วย 2506, น.141) ลัวะจึงถือเป็นชนกลุ่มดั้งเดิมที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในอาณาจักรล้านนามาก่อนการตั้งเมืองเชียงใหม่ อาณาจักรลัวะ ถึงกาลล่มสลายประมาณปี พ.ศ. 1200 ในสมัยของขุนหลวงวิรังคะ ผู้นำคนสุดท้ายของชาวลัวะ ปัจจุบันพบชาวลัวะในจังหวัด คือ ลำปาง อุทัยธานี สุพรรณบุรี เชียงราย เชียงใหม่ ตาก น่าน และแม่ฮ่องสอน หมู่บ้านลัวะที่ใหญ่ที่สุด อยู่ที่บ้านบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ชนเผ่าลัวะอาศัยอยู่ใน 9 จังหวัด 21 อำเภอ 71 หมู่บ้าน จำนวน 3,322 หลังคาเรือน ประชากรรวม 17,637 คน (ทำเนียบชุมชนฯ, 2540, น.50)
ชาวลัวะในประเทศไทยมีวิถีการดำรงชีพที่ให้ความสำคัญกับระบบความเชื่อและพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเลี้ยงผีเพื่อความอุดมสมบูรณ์และการมีชีวิตอยู่อย่างปกติสุข อาจกล่าวได้ว่าประเพณีการเลี้ยงผีของชาวลัวะมีมากที่สุดในกลุ่มชาติพันธุ์ทั้งหมดในประเทศไทย โดยลัวะในแถบเชียงใหม่ -แม่ฮ่องสอนจะเลี้ยงผีและสืบทอดตระกูลททางฝ่ายพ่อ ส่วนกลุ่มชาติพันธุ์ลัวะในจังหวัดน่าน สืบผีทางตระกูลทางฝ่ายแม่ พิธีเลี้ยงผีที่สำคัญของกลุ่มชาติพันธุ์ลัวะ แบ่งตามระดับของผีที่เกี่ยวข้องกับชุมชนเป็น 3 ระดับ คือ หนึ่ง การเลี้ยงผีในระดับครอบครัว เป็นการเลี้ยงผีเรือนเพื่อปกป้องคุ้มครองลูกหลาน สอง การเลี้ยงผีในระดับตระกูลหรือการเลี้ยงผีบรรพบุรุษ ในพื้นที่สูงจังหวัดเชียงใหม่ เป็นหน้าที่ของ “สะมาง” หรือตระกูลขุนเป็นผู้นำในการเลี้ยงผี และสาม การเลี้ยงผีในระดับหมู่บ้าน เพื่อปกป้องดูแลหมู่บ้าน และพื้นที่เกษตรกรรม การเลี้ยงผี จึงเปรียบเสมือนหลักปฏิบัติในการดำเนินวิถีชีวิตของชาวลัวะ ถือเป็นแบบแผนและจารีตในการปกครองบ้านและชุมชน
ผู้เรียบเรียงข้อมูล
ฐิติวุฒิ บุญยวงศ์วิวัชร,สุวิภา จำปาวัลย์
ข้อมูลประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ชาวลัวะ ปรากฏในพงศาวดาร ตำนาน โดยข้อมูลจากพงศาวดาร ระบุว่า ลัวะรัฐ (ลพบุรี) ก่อนขอมเข้ามามีอำนาจ สมัยพระนางจามเทวี เคยทำสงครามกับชาวลัวะ เช่นเดียวกับข้อมูลจากปฐมพงศาวดารเมืองเงิน ยางเชียงแสน ที่ได้กล่าวถึงชาวลัวะบริเวณดอยตุง เช่นเดียวกันกับข้อมูลจากพงศาวดารเชียงตุง ที่ระบุว่า คนทั้งหลายออกมาจากน้ำเต้าใบเดียวกัน ลัวะ ออกมาเป็นกลุ่มแรก กะเหรี่ยงออกมาเป็นกลุ่มที่สอง ต่อมาเป็นคนไทย (บุญช่วย ศรีสวัสดิ์, 2506, น.138-139) อาณาจักรของลัวะ ครอบคลุมบริเวณแหลมสุวรรณภูมิ และเขตมณฑลยูนนานตอนใต้ เมื่อถูกขอม เขมร ไทย ลาว จาม และเวียดนามรุกราน จึงแตกพ่ายไปอยู่ตามป่าเขาห่างไกล (บุญช่วย ศรีสวัสดิ์, 2506, น.141) ลัวะถือเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ดั้งเดิมที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในอาณาจักรล้านนามาก่อนการตั้งเมืองเชียงใหม่ อาณาจักรลัวะ ถึงกาลล่มสลายประมาณปี พ.ศ. 1200 ในสมัยของขุนหลวงวิรังคะ ผู้นำคนสุดท้ายของชาวลัวะ สอดคล้องกับ ตำนานพระธาตุภาคเหนือ ที่ได้ระบุว่า ชนชาติลัวะมีมาก่อนชนชาติไทยและขอม
ลัวะ เป็นชาวพื้นเมืองที่ตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ภาคเหนือ ในระยะหลังนักวิชาการมักเขียนและออกเสียงกลุ่มชาติพันธุ์นี้ว่า “ลวะ” ชาวลัวะกระจายตัวตั้งถิ่นฐานไปถึงเมืองเชียงตุงและเมืองยองในเมืองเชียงใหม่ ลำพูน ศูนย์กลางของลัวะอยู่ที่เชิงดอยสุเทพ เชื่อกันว่า ฤๅษีวาสุเทพ เป็นลูกหลานของปู่แสะย่าแสะ เช่นเดียวกับขุนหลวงวิลงคะ หรือ วิรังคะ ซึ่งเป็นหัวหน้าชาวลัวะยุคสุดท้าย จากตำนานเจ้าสุวรรณคำแดง กล่าวถึงถิ่นที่อยู่ของลัวะในบริเวณเชิงดอยสุเทพกระจายตัวลงมาจนถึงที่ราบริมน้ำปิง จากตำนานพระธาตุในล้านนา มองชาวลัวะออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
กลุ่มแรก มองว่าลัวะ เป็นคนที่อยู่ในภาคเหนือ ภาพตัวแทนของลัวะจึงเกิดขึ้นในยุคแรกเริ่มและมีความเก่าแก่กว่าชนกลุ่มอื่น ตำนานมักอ้างถึงพระพุทธเจ้า เมื่อครั้งยังมีพระชนม์ชีพอยู่ ได้เสด็จมาเผยแพร่พระพุทธศาสนาและพบกับลัวะผู้หนึ่งที่ได้ถวายอาหาร เช่นเดียวกับตำนานพระธาตุลำปางหลวง ที่ได้กล่าวถึง ลัวะอ้ายกอน ที่ถวายน้ำผึ้ง และตำนานพระธาตุช่อแฮ ที่กล่าวถึงขุนลัวะ อ้ายค้อมถวายหมาก เป็นต้น
กลุ่มที่สอง มองว่า ลัวะ เป็นคนที่เกิดในรอยเท้าสัตว์ จำพวกช้าง แรด วัว และเนื้อ อยู่กันเป็นกลุ่มตามพันธุ์สัตว์ สะท้อนการเป็นสังคมชนเผ่าที่ใช้สัตว์เป็นสัญลักษณ์ มุมมองดังกล่าวปรากฏในตำนานมูลศาสนาชินกาลมาลีปกรณ์ และจามเทวีวงศ์ แต่ตำนานดังกล่าวไม่ระบุว่า คนเกิดในรอยเท้าสัตว์เป็นลัวะ ในขณะที่ตำนานสุวรรณคำแดง ซึ่งเป็นตำนานรุ่นหลัง ได้อธิบายว่า คนในรอยเท้าสัตว์เป็นลัวะ ตำนานลัวะเป็นคนล้าหลังทางวัฒนธรรม เพราะไม่นับถือพระพุทธศาสนา
กลุ่มที่สาม มองว่า ชาวลัวะสร้างเวียงเจ็ดริน เวียงสวนดอก และเวียงนพบุรีหรือเชียงใหม่ ปรากฎในตำนานเจ้าสุวรรณคำแดง หรือตำนานเสาอินทขิล ซึ่งเขียนราวต้นรัตนโกสินทร์ ตำนานนี้เน้นความสำคัญของลัวะในจังหวัดเชียงใหม่ที่มีการผสมกลมกลืนระหว่างลัวะกับคนไทย เช่นเดียวกัน ตำนานเจ้าสุวรรณคำแดง ที่เขียนในสมัยรัชกาลที่ 5-6 ระบุว่า เวียงเชียงใหม่สร้างโดยพญาไชยเสนาได้ครองลำปาง เมื่อขับไล่พญาเบิกไปแล้ว พญามังรายซึ่งมีความสัมพันธ์อันดีกับลัวะ ได้มีความพยายามในการสลายความเป็นชนเผ่าลัวะให้กลายเป็นคนไทย
เมื่อพญามังรายก่อตั้งเมืองเชียงใหม่ ตำนานพื้นเมือง ได้ระบุว่า บริเวณนี้เป็นที่อยู่ที่ตั้งแห่งท้าวพญาแต่ก่อน ซึ่งหมายถึง เคยเป็นที่อยู่เดิมของหัวหน้าลัวะ ตำนานนพบุรีเมืองพิงค์เชียงใหม่ กล่าวว่า หลังจากพญามังรายสร้างเวียงเชียงใหม่แล้ว เมื่อจะเสด็จเข้าเมืองได้สอบถามสรีขุนจุกได้ไปสอบถามจากหัวหน้าชาวลัวะ จึงทราบว่าต้องเข้าทางประตูช้างเผือก การยอมรับว่าลัวะเป็นเจ้าของดินแดนนี้มาก่อน ยังแสดงออกในพิธีราชาภิเษก โดยในพิธีจะให้ลัวะจูงสุนัขนำขบวนเสด็จกษัตริย์เข้าเมือง พิธีนี้คล้ายคลึงกับพิธีราชาภิเษกของกษัตริย์เมืองเชียงตุง ซึ่งเป็นเชื้อสายราชวงศ์มังราย และเคยเป็นที่อยู่ของลัวะมาก่อน ในเชียงตุงมีพิธีไล่ลัวะ ในพิธีจะนำผามให้ลัวะกินอาหาร เมื่อกินเสร็จแล้วก็ไล่ลัวะไปแล้วเข้าครองแทน
เนื่องจากเชียงใหม่เป็นที่อยู่ของลัวะมาช้านาน อิทธิพลด้านความเชื่อของล้วะที่สืบทอดมาจึงมีให้เห็นอยู่จนปัจจุบัน
นอกจากตำนานที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว เรื่องราวของชาวลัวะยังปรากฎในเรื่องราวของขุนหลวงวิรังคะ กับนางจามเทวี ที่เกิดขึ้นประมาณพุทธศตวรรษที่ 14 ซึ่งเป็นช่วงที่นางจามเทวีครองราชย์ในเมืองหริภุญชัย แล้วขุนหลวงวิรังคะเป็นหัวหน้าชาวลัวะบริเวณเชิงดอยสุเทพได้ทำสงครามกับนางจามเทวี สาเหตุของสงครามอาจเกิดจากความไม่พอใจของชาวพื้นเมืองลัวะที่ถูกชนต่างถิ่นเข้ามาแทรกแชง ขุนหลวงวิรังคะพ่ายแพ้ในการทำสงคราม ทำให้ชาวลัวะส่วนหนึ่งกระจัดกระจายไปตามป่าเขา ในขณะที่ชาวลัวะส่วนหนึ่งยินยอมอยู่ภายใต้การปกครองของนางจามเทวี นับเป็นการสิ้นสุดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวของลัวะ พระนางจามเทวีแต่งตั้งขุนลัวะให้ครองชุมชนลัวะเชิงดอยสุเทพและให้ส่งส่วยเป็นประจำกลุ่มลัวะที่เป็นพันธมิตรช่วยเหลือพญามังรายตีเมืองหริภุญชัย
จากตำนานดังกล่าวได้ระบุถึงการมีชุมชนลัวะตั้งแต่อดีตจนกระทั่งปัจจุบัน ตามที่ปรากฎในคัมภีร์ใบลาน “อวหาร 25” ที่ได้กล่าวถึง ปู่แสะย่าแสะและลูกหลาน ที่รับเอาความเชื่อตามหลักพระพุทธศาสนา โดยไม่ฆ่าสัตว์ การไหว้พระบฏ และการให้ลูกได้บวชเป็นฤๅษี สอดคล้องกับตำนานที่กล่าวถึงฤๅษีวาสุเทพอยู่ดอยอุจฉุบรรพต หรือ ดอยอ้อยช้าง ต่อมาชื่อดอยได้ถูกเปลี่ยนตามชื่อฤๅษีตนนี้ว่า “ฤๅษีวาสุเทพ” เป็นลูกหลานปู่แสะย่าแสะ ในขณะเดียวกันได้มีลัวะบางกลุ่มที่มีความเจริญอยู่ในระดับหนึ่ง ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความสามารถในการทำเครื่องมือเครื่องใช้ด้วยเหล็ก จนกระทั่งในสมัยล้านนา กษัตริย์ราชวงศ์มังรายได้ให้ชาวลัวะส่งส่วยเป็นสิ่งที่ผลิตจากเหล็ก
เมื่อกล่าวถึงตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ในระยะหลัง พบว่า มีการแต่งตั้งพรานป่าชื่อ ทิพย์ช้าง ชาวลำปาง ซึ่งเป็นหัวหน้าในการขับไล่ทัพพม่าออกจากลำปางให้เป็นเจ้าเมือง ชื่อว่า “พญาสุลวลือชัยสงคราม” ตามตำนานระบุว่าพรานผู้นี้เป็นชนเผ่าลัวะ จึงทำให้เข้าใจได้ว่า คำว่า "ลว" หรือ "ลวะ" แปลว่า ชนพื้นเมืองมากกว่าชื่อของชนเผ่า
เมื่อเชื่อมโยงถึงการศึกษาคำว่า “ลาว” ซึ่งเป็นคำนำหน้านามแทนคำบอกตำแหน่งกษัตริย์ จะพบคำว่า“ลาว” และ “ลวะ” เป็นคำเดียวกัน เมื่อย้อนกลับไปเทียบดูการปรากฏของลัวะในตำนานต่าง ๆ ทำให้เห็นว่า "ลวะ" ที่ได้พบพระพุทธเจ้านั้น อาจไม่ใช่ชาวลัวะ หากแต่คนพื้นเมืองในท้องถิ่น เมื่อศึกษาถึงการใช้คำเรียกชนกลุ่มนั้น พบว่า ในตำนานดอยตุงมีการเรียกปู่เจ้าลาวจกว่า “มิลักขะ มิลักขุ่ย มิลักขยะ” และในกรณีของ “ขุนหลวงวิรังคะ” ซึ่งเป็นหัวหน้าของชาวลัวะ ที่เชิงดอยสุเทพ พบว่า มีการใช้ “บ่าลังคะ มะลังคะ มิลักขะ มิลักขุ” โดยเฉพาะคำว่า “มิลักขุ” เป็นภาษาบาลี มีแปลว่า คนป่าเถื่อน หรือคนที่ด้อยความเจริญ ซึ่งหมายรวมถึง คนพื้นเมือง แต่เป็นชาวบ้านนอก หรือชาวบ้านป่าที่มิได้รับอารยธรรมแบบเมือง ทั้งที่แต่เดิมแล้ว “ลาว” หมายถึง กษัตริย์ อาจสรุปได้ว่า ลวะ คือ คนในพื้นถิ่นหรือเป็นชาวบ้านที่ด้อยความเจริญ ในขณะเดียวกัน ลวะ ก็เป็นคำที่ชาวล้านนาเรียกชื่อ กลุ่มคนที่ด้อยความเจริญคู่กับชาวกะเหรี่ยง ดังในสำนวนที่ว่า “เพรอะเหมือนลัวะเหมือนยาง” หมายถึงสกปรกเลอะเทอะเหมือนชาวลัวะและชาวกะเหรี่ยง
อย่างไรก็ตาม จิตร ภูมิศักดิ์ (2519) ได้ตั้งข้อสังเกตว่า มิกขะ มีลักษณะพัฒนาการจากพื้นฐานที่ว่าชนชาติอาระยันเป็นผู้พิชิต และมีอำนาจปกครองทางการเมืองเหนือชนพื้นเมืองเดิม ชาวอารยันจึงเรียก ชนพื้นเองเดิมทั้งหมด ว่า มิลักขะ, มิลักขุ หรือ มิลักโข ซึ่งแปลว่า คนป่า คนเถื่อน คนชาวเชา คนชั้นต่ำ คนไม่บริสุทธิ์ ในภาษาสันสกฤตเรียกคนกลุ่มนี้ว่า เมลษ หรือ เมลจณ เพี้ยนกันทางเสียงและรูปคำ แต่มีความหมายเดียวกัน ถือกันว่าห้ามชาวอาระยันคบค้าสมาคมและห้ามแต่งงานด้วยเพราะจะทำให้เสียสายเลือดอันบริสุทธิ์ ห้ามสอนความรู้อะไรให้เด็ดขาด เพราะถือเป็นคนชั้นต่ำ และไม่ให้โอกาสกอบกู้ฐานะทางสังคมและการเมืองของตนได้ ชื่อเรียกว่า มิกขะ หรือ เมลจณะ พบเก่าแก่ที่สุดในคัมภีร์ ศตปถ พราหมณะ , III , ๒, ๑ พฤหสตารัณยกะ ๒๒-๒๔ ข้อความในนั้น กล่าวถึง เมลจณะในฐานะเป็นชนเผ่าต่างชาติที่มิใช่อาระยันเผ่าหนึ่ง โดยกล่าวว่าเป็น...ชนต่างชาติที่ชอบร้องเออะไม่เป็นภาษาว่า เห ลโว ลวะ มีผู้ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องนี้และกล่าวว่า เมลจณะ นี้น่าจะเป็นคำที่ชนพื้นเมืองรุ่นก่อนนำติดตัวเข้ามาจากตะวันตก เป็นภาษาตระกูลเซมิติ ว่า เมเลข แปลว่า เจ้า ราชา และคำนี้ยังคล้ายคลึงกับภาษาปรากฤต (ภาษาถิ่นของอารยัน) ที่เรียกว่า มิลักขุ หรือมิลักโข ส่วนเสียงร้องว่า เหลวะ เป็นภาษาเซมิติคอีก ซึ่งเป็นชื่อภาพเจ้าของชาวเซมิติคที่ปรากฏในภาษาของเฮบรูว่า เอโลอาห์ แม้ว่ารากเหง้าเดิมของคำว่า มิลักขะ หรือ เมลจณะ จะแปลว่า เจ้าหรือราชา แต่ชาวอาระยันผู้พิชิตได้นำชื่อนี้มาเรียกในความหมายว่า ป่าเถื่อนไร้ความเจริญ และเป็นคำมนภาษาอารยัน (บาลี, สันสฤต, ปรากฤต) แปลว่า คนเถื่อน ( จิตร ภูมิศักดิ์, 2519, น. 377-379)
ผู้เรียบเรียงข้อมูล
ฐิติวุฒิ บุญยวงศ์วิวัชร,สุวิภา จำปาวัลย์
จากข้อมูลของสมาคมศูนย์รวมการศึกษาและวัฒนธรรมของขาวไทยภูเขาในประเทศไทย (ศ.ว.ท.) (2563) ระบุว่า ชาวลัวะอาศัยอยู่ในเขตพื้นที่ 6 ประเทศ คือ จีน พม่า ลาว เวียดนาม กัมพูชา และไทย (บุญช่วย ศรีสวัสดิ์ 2506, น.138) ปัจจุบันชาวลัวะในประเทศไทย ตั้งถิ่นฐานกระจายตัว 8 จังหวัดของประเทศไทย คือ ลำปาง อุทัยธานี สุพรรณบุรี เชียงราย เชียงใหม่ ตาก น่าน และแม่ฮ่องสอน หมู่บ้านลัวะที่ใหญ่ที่สุด อยู่ที่บ้านบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ลัวะอาศัยอยู่ใน 8 จังหวัด 21 อำเภอ 71 หมู่บ้าน จำนวน 3,322 หลังคาเรือน ประชากรรวม 17,637 คน (กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ, 2540, น.50) การตั้งถิ่นฐานของลัวะ ส่วนใหญ่มีตั้งถิ่นฐานแบบถาวร จากการสำรวจฐานข้อมูลในปัจจุบันยังไม่มีการจัดทำฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ลัวะในพื้นที่ต่าง ๆ อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม จากการค้นคว้าในสารานุกรมชาติพันธุ์ในประเทศไทย: ละว้า (2539) พบว่า ชาวลัวะตั้งถิ่นฐานหนาแน่นอยู่ในบริเวณหุบเขาพื้นที่รอยต่อของจังหวัดเชียงใหม่และแม่ฮ่องสอน บางส่วนได้เคลื่อนย้ายลงมาอยู่ในบริเวณที่ราบกันมากขึ้น เช่น บ้านบ่อหลวงและบ้านกองลอย อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ สอดคล้องกับข้อมูลจากการลงภาคสนาม ที่พบว่า ชาวลัวะในเชียงใหม่ ส่วนใหญ่ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่บ้านบ่อหลวง อำเภอฮอด อำเภอแม่แจ่ม และอำเภอสะเมิง ส่วนชาวลัวะในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ส่วนใหญ่ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่อำเภอแม่ลาน้อย และอำเภอแม่สะเรียง (ณัฐวี ทศรฐ และสุริยา รัตนกุล, 2539; Suriya Ratanakul, 1956:1985)
จากข้อมูลในงานศึกษาของประเสริฐ ชัยพิกุสิต (2542) ระบุว่า ลัวะได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในจังหวัดเชียงใหม่ตั้งแต่ 900 ปีที่แล้ว แต่มีชาวมอญที่อพยพมาจากลพบุรีได้มาสร้างเมืองลำพูนและลำปางได้เข้ามารุกรานที่อยู่อาศัยของชาวลัวะ จนต้องถอยร่นไปอาศัยอยู่บนเขากลายเป็นชาวเขา ปัจจุบันชาวลัวะส่วนใหญ่ตั้งบ้านเรือนอยู่บนภูเขา ในหมู่บ้านหนึ่งมักประกอบด้วย 20-100 หลังคาเรือน การสร้างบ้านเรือนนั้นมักตั้งอยู่บนสันเขาและมีพื้นที่รอบหมู่บ้านเป็นพื้นที่เพาะปลูก ในขณะเดียวกันก็มีชาวลัวะบางส่วนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ราบ ส่วนใหญ่กลุ่มนี้ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมไทยจนอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ถูกกลืนกลายไปเกือบทั้งหมด
ส่วนชาวลัวะในจังหวัดเชียงรายมีหมู่บ้านชาวลัวะ กระจายตัวครอบคลุม 5 พื้นที่ คือ อำเภอเมือง ในตำบลบัวสลี 1 หมู่บ้าน ตำบลแม่กรณ์ 1 หมู่บ้าน ในแต่ละแห่งมีครัวเรือนชาวลัวะประมาน 20 หลังคาเรือน อำเภอพาน 2 หมู่บ้าน อำเภอเวียงป่าเป้า 1 หมู่บ้าน และในเขตอำเภอเมืองจังหวัดเชียงราย (ไม่ระบุหมู่บ้าน)
ในส่วนของข้อมูลจำนวนของครัวเรือน ประชากร และสถานการณ์ด้านประชากรนั้น ยังไม่ได้มีการบันทึกอย่างชัดเจนและละเอียดมากนัก ทั้งนี้ จากการรวบรวมข้อมูลจากเอกสารสามารถจำแนกข้อมูลการสำรวจจำนวนประชากรลัวะ ออกเป็น 3 ระยะ ดังนี้
ระยะที่ 1 ข้อมูลการสำรวจประชากรชาวเขา 9 เผ่า ในประเทศไทย ประมาณ พ.ศ. 2523-2527 พบว่า ชาวลัวะอาศัยกระจัดกระจายตาม 6 จังหวัด รวมเป็น 11,536 คน (ชลธิรา สัตยาวัฒนา, 2530) ดังนี้
1. จังหวัดเชียงใหม่ 6,952 คน
2. จังหวัดเชียงราย 150 คน
3. จังหวัดกาญจนบุรี 144 คน
4. จังหวัดแม่ฮ่องสอน 3,677 คน
5. จังหวัดสุพรรณบุรี 136 คน
6. จังหวัดอุทัยธานี 739 คน
ส่วนสถิติจำนวนประชากรชาวเขา 9 เผ่าที่อาศัยอยู่ใน 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบนในปี พ.ศ. 2527 พบว่า จากเดิมเมื่อปี พ.ศ. 2523 กลุ่มชาติพันธุ์นี้ถูกเรียกว่า ลัวะ ต่อมาปี พ.ศ. 2527 ได้ถูกเปลี่ยนชื่อเรียกเป็นละว้า ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคเหนือ คือ เชียงใหม่ เชียงราย และแม่ฮ่องสอน มีจำนวน 43 หมู่บ้าน 2,297 หลังคาเรือน รวมทั้งหมด 12,885 คน
ระยะที่ 2 ข้อมูลการสำรวจจำนวนประชากรชาวลัวะในประเทศไทย พ.ศ. 2542 พบว่า ชาวลัวตั้งถิ่นฐานในประเทศไทย จำนวน 59 หมู่บ้าน 3,261 หลังคาเรือน มีประชากรทั้งหมด 17,216 คน คิดเป็นร้อยละ 2.28 ของประชากรชาวเขาในประเทศไทยทั้งหมด (ประเสริฐ ชัยพิกุสิต, 2542)
ระยะที่ 3 ข้อมูลการสำรวจจำนวนประชากรชาวลัวะในประเทศไทย พ.ศ. 2555 เป็นข้อมูลจากกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (2555) ระบุว่า กองสถาบันวิจัยชาวเขาได้รวบรวมจำนวนประชากรชาวลัวะในจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ลำปาง สุพรรณบุรี และอุทัยธานี ในช่วง พ.ศ. 2530-2531 มีทั้งสิ้น 8,376 คน ต่อมาใน พ.ศ. 2545 กองสงเคราะห์ชาวเขาได้สำรวจจำนวนลัวะมีจำนวนทั้งสิ้น 22,260 คน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากข้อมูลในอดีตช่วงปี พ.ศ. 2428 ที่ชาวลัวะมีประชากรประมาณ 9,000-10,000 คน จากนั้นในปี 2563 พิพิธภัณฑ์เรียนรู้ราษฎรบนพื้นที่สูง ได้ระบุว่า ประชากรลัวะในประเทศไทย มีจำนวน 58,803 คน โดยคิดเป็นร้อยละ 4.08 ของจำนวนประชากรของชาวเขาในประเทศไทยจะเห็นว่า อัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรชาวลัวะนั้นค่อนข้างน้อยเนื่องจากการแต่งงานที่ช้าลงประกอบกับการถูกผสมผสานเข้ากับความเป็นคนไทยจากการแต่งงานข้ามวัฒนธรรม
ผู้เรียบเรียงข้อมูล
ฐิติวุฒิ บุญยวงศ์วิวัชร,สุวิภา จำปาวัลย์
การดำรงชีพ
ชาวลัวะมีการยังชีพด้วยการทำไร่หมุนเวียนโดยมีพืชหลักเป็นข้าวเจ้า ที่นิยมรับประทานมากกว่าข้าวเหนียว ทั้งยังนิยมดื่มเหล้าจากข้าวเจ้า รวมทั้งมีพืชอื่นที่ปลูกหมุนเวียนเพื่อนำมาบริโภคในครัวเรือนและนำไปขายที่หมู่บ้านใกล้เคียง ได้แก่ ถั่ว แตงกวา ข้าวโพด พริก ฝ้าย และผักสวนครัว นอกจากนี้ยังมีการเลี้ยงสัตว์ เช่น สุนัข วัว กระบือ สุกร ไก่ เป็นต้น สัตว์เหล่านี้นอกจากจะใช้ในการบริโภคในครัวเรือนแล้วถูกใช้เพื่อประกอบพิธีกรรมการเลี้ยงผี อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันชาวลัวะบางหมู่บ้านได้ปรับตัวหันไปปลูกพืชเศรษฐกิจเพื่อสร้างรายได้เพิ่มเติมเพื่อให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เช่น ท้อ เสาวรส ผักกาด กะหล่ำปลี มะเขือเทศ ถั่วแดง ถั่วลันเตา เป็นต้น
ในส่วนการทำข้าวไร่ ชาวลัวะมีการเรียนรู้การทำนามาจากคนไทย ที่มีการทำนาแบบขั้นบันไดและมีพื้นที่ทำไร่ข้าวอยู่รอบหมู่บ้าน การทำไร่ข้าวจะเป็นในลักษณะของการปลูกข้าวระบบหมุนเวียนไปทุกปี ใช้เวลาประมาณ 7-10 ปี จึงจะครบรอบตามพื้นที่ที่หมู่บ้านเป็นเจ้าของ การทำไร่ข้าวจะทำในพื้นที่เดียวกันและหมุนเวียนไปพร้อมกันทั้งหมู่บ้าน ยิ่งไปกว่านั้น กระบวนการทำไร่ข้าวของชาวลัวะยังมีความเกี่ยวพันกับความเชื่อเรื่องการถือผี ที่เกิดขึ้นตั้งเต่ขั้นตอนการเลือกพื้นที่ที่จะใช้ถางหญ้าเพื่อทำไร่ข้าวไปจนถึงกระบวนการเก็บเกี่ยวข้าว
ในการเลือกพื้นที่ทำไร่ของชาวลัวะนั้น จะไม่มีการถางป่าที่เป็นป่าแก่หรือป่าปฐมภูมิ เนื่องจากมีความเชื่อว่า ป่าแก่เป็นสถานที่ที่ผีป่าสิงสถิตอยู่ และต้องการอนุรักษ์ป่าแก่เหล่านี้ให้เป็นแหล่งต้นน้ำและแหล่งสร้างความร่มรื่นแก่คนในหมู่บ้าน รวมไปถึงอนุรักษ์ไว้เพื่อเป็นแนวกันไฟป่า ดังนั้น หากผู้ใดทำการถางป่าแก่จะถูกปรับเงิน การทำไร่ของชาวลัวะมักทำในพื้นที่ป่าหนุ่มหรือป่าทุติยภูมิ นอกจากนี้ ชาวลัวะยังมีแนวทางการป้องกันไฟป่าที่เข้มงวด เนื่องจากหากไฟป่าเกิดขึ้นและลามไปยังพื้นที่อื่นจะทำให้ดินเสียความอุดมสมบูรณ์และไม่เหมาะสมต่อการเพาะปลูก การเผาไร่ของชาวลัวะจึงได้รับความร่วมมือในการควบคุมจากคนในหมู่บ้านเป็นอย่างดีทำให้การทำไร่ของชาวลัวะจะไม่แยกเป็นหลายพื้นที่ดังเช่นกลุ่มชาติพันธุ์อื่น
การทำไร่ของชาวลัวะมักเริ่มต้นในเดือนกุมภาพันธ์ โดยเริ่มจากการที่คนในหมู่บ้านประชุมหารือเพื่อเลือกพื้นที่ในการทำการเกษตร หลังจากนั้น สมังและลำจะทำหน้าที่ในการนำดินตัวอย่างจากพื้นที่ดังกล่าวมาทำพิธีบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทาง พิธีนี้ชาวลัวะเรียกว่า “สะโป้ก” หลังจากนั้นจะนำไก่ตัวเมียสีแดงมาฆ่าเพื่อเป็นการเซ่นไหว้ผีจำนวน 1 ตัว แล้วตรวจดูว่าดี (อวัยวะ) ของไก่ตัวนั้นมีลักษณะที่ดี คือ มีน้ำเต็มและเป็นประกาย หากมีลักษณะเป็นที่พอใจถือว่า พื้นที่แห่งนั้นสามารถทำไร่ได้โดยเริ่มต้นจากการให้สมังเป็นผู้มีสิทธิ์ในการเลือกพื้นที่ของตนเองเป็นคนแรก รองลงมาคือ ลำ ผู้ช่วยลำ และชาวบ้านแต่ละครัวเรือนเป็นลำดับ เมื่อแต่ละครัวเรือนเลือกพื้นที่ของตนเองเรียบร้อยแล้วจะทำการสะโป้กพื้นที่ของตนเองเพื่อดูความเหมาะสมของพื้นที่ที่ตนเองเลือก หากดีของไก่ยังไม่เป็นที่พึงพอใจก็จะทำการแลกพื้นที่กับครัวเรือนอื่นแล้วการทำการสะโป้กอีกครั้งจนกว่าจะได้พื้นที่ที่พอใจ
ขั้นตอนต่อมา คือ การถางไร่และการเผาไร่ จะเริ่มในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม และใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ เริ่มจากการถางป่า ตั้งแต่ตีนเขาไล่ขึ้นไปบนเขาแล้วเหลือต้นไม้บนแนวสันเขาไว้เป็นแนวกันไฟ ในส่วนของการตัดต้นไม้จะตัดเพียงต้นเล็กเท่านั้น ส่วนต้นใหญ่จะตัดเพียงกิ่งก้านเท่านั้น หลังจากนั้นจะปล่อยป่าทิ้งไว้ประมาณ 1 เดือนจึงจะทำการเผา วันเผาจะถูกกำหนดโดยผู้อาวุโสของหมู่บ้าน ก่อนจะเผาป่านั้นจะมีพิธีกรรมการเซ่นไหว้ผีป่าเพื่อไม่ให้ไฟไหม้ลามไปยังพื้นที่อื่น หลังจากนั้นให้ชายหนุ่มจะเป็นผู้จุดไฟเผาจากบริเวณตีนเขาในตอนกลางวันเมื่อไฟไหม้พื้นที่จนหมดแล้วเจ้าของพื้นที่แต่ละที่จะทำการปักเฉลวไว้ในพื้นที่ของตนเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของเป็นการบอกให้ผีป่ารู้ว่าพื้นที่แห่งนี้มีเจ้าของแล้ว แล้วจึงโยนดอกไม้และเมล็ดฝ้ายลงไปในพื้นที่ของตน หากพบว่ามีไม้ที่ไหม้ไม่หมดชาวลัวะจะทำการรวบรวมไม้เหล่านั้นมากองรวมกันแล้วทำการเผาอีกรอบแล้วจึงสร้างกระต๊อบไว้ในพื้นที่ของตนเอง ชาวลัวะมีความเชื่อว่า การเผาป่าจะทำให้ดินมีสารอาหารจากการสะสมของขี้เถ้า ยิ่งไปกว่านั้นไฟจะเป็นการกำจัดแมลงและวัชพืช
เมื่อเตรียมพื้นที่ในการทำไร่พร้อมแล้วทั้งหมู่บ้านจะทำการเลี้ยงผีอีกครั้ง หลังจากนั้นจึงเริ่มการทำไร่ข้าวด้วยการให้ชายหนุ่มนำไม้ไผ่ยาวประมาณ 4-5 เมตร เหลาปลายจนแหลมมาจิ้มพื้นดินให้เป็นรู แล้วให้ผู้หญิง เด็ก และผู้สูงอายุหยิบเมล็ดข้าวลงในหลุมตามหลังชายหนุ่ม หลังจากเสร็จกระบวนการปลูกข้าวแล้ว คนหนุ่มสาวจะเล่นสาดน้ำกันโดยมีความเชื่อว่าจะทำให้ข้าวงอกงามดี (ประเสริฐ ชัยพิกุสิต, 2542)
นอกจากนี้ ชาวลัวะยังมีภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่สำคัญในการตีมีด ที่พบในชุมชนชาวละเวือะ บ้านบ่อหลวง จากการลงพื้นที่สัมภาษณ์นายบุญจันทร์ ต๊ะซู่ (สัมภาษณ์, 2563) ชาวละเวือะ ตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด ได้อธิบายถึงพัฒนาการการตีมีดว่า
"...ในอดีตการตีมีดจะใช้เตาดิน โดยเมื่อก่อนจะทำสูง มีสองชั้น เหมือนกับเตาอั้งโล่ แต่เวลาที่นำอันนี้เข้าใส่เหล็กมันจะอยู่ลุ่ม มีสองชั้น จะอยู่ข้างบน ขี้มันจะอยู่ข้างล่าง ข้างล่างเป็นเหล็กก้อนอย่างนี้ ก้อนหินนั่นแหละ ตีจนเละ จากนั้นเอาออก ตอนนั้นตีกันเป็นกลุ่มเลย..."
ทั้งนี้ การตีมีดจึงเป็นอาชีพดั้งเดิม ตามวลีที่กล่าวว่า “ลัวะตีเหล็ก” สะท้อนให้เห็นว่า ในอดีตทุกหมู่บ้านประกอบอาชีพตีมีดเป็นอาชีพหลักที่ชาวลัวะมีความชำนาญ ในยามว่างจะมีการขุดเหล็กที่บ่อ ซึ่งมีพิธีกรรมในการเลี้ยงผีบ่อเหล็ก ซึ่งจะกล่าวถึงต่อไป
ปัจจุบัน ผู้คนนิยมซื้อเครื่องมือเครื่องใช้สมัยใหม่มาใช้งาน จึงไม่มีการตีมมีดหรือตีเหล็กอีกต่อไป ดังคำกล่าวของผู้ให้สัมภาษณ์ ที่ระบุว่า
“…สมัยนี้เขาไม่ตีเหล็กกันแล้ว ซื้ออย่างเดียว เสื้อผ้าที่ใช้สมัยนี้ก็ซื้อ เมื่อก่อนทอผ้าได้ สมัยนี้ไม่ทอแล้ว คนทอผ้าเก่ง ๆ สมัยนี้ก็หาไม่ได้แล้ว เมื่อก่อนก็มีการเอาเหล็กที่ตีได้ไปแลกเสื้อผ้ามา ส่วนลัวะ/ละเวือะอมพายสมัยนี้เป็นช่างปั้นหม้อ สมัยก่อนเป็นหม้อดิน ขึ้นอยู่กับบรรพบุรุษใครชำนาญด้านไหนก็จะสานต่อด้านนั้น ลัวะ/ละเวือะที่ตีเหล็กก็ฝึกจากปู่ย่าตายาย บรรพบุรุษ เลียนแบบกันมา การตีเหล็กก็มีแบบเดียว…”
โครงสร้างทางสังคม
จากการศึกษาภาคสนามในพื้นที่อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ได้ทำการสัมภาษณ์ผู้แทนองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ที่บอกเล่าถึงระบอบของชุมชนในอดีตจนกระทั่งปัจจุบันที่มีความผูกพันกับความเชื่อในการนับถือผีว่า
“... ในสมัยก่อน ภาษีอากรต่าง ๆ มีกำนันและผู้ใหญ่บ้านของลัวะเป็นผู้จัดการ ภาษีวัวภาษีควาย เป็นต้น กำนันหรือที่เรียกว่า ป้อแคว่น เป็นผู้เก็บ เป็นผู้ที่ดูหัวเมืองของลัวะ/ละเวือะ พอมาอยู่ที่นี่การทำมาหากินในสมัยนั้นก็มีการไปเอาเหล็กที่แม่โถ ไม่ทราบว่าสัญญากับผีอย่างไร ลักษณะเหมือนขอให้มีแร่ออกเยอะแล้วจะแลกเปลี่ยนด้วยการให้สิ่งนั้นสิ่งนี้ เมื่อขึ้นไปขุดเหล็กที่แม่โถก็ได้เซ่นไหว้วัว ทำมาจนกระทั่งปัจจุบัน ถามว่าไม่ทำได้ไหมก็ได้ แต่ของโบราณก็ต้องทำ ปีที่แล้วก็ทำ มีการเก็บหลังคาละสิบบาททั่วตำบล สามพันกว่าหลังคาเรือนก็ตีไว้ว่าประมาณสองหมื่น เพื่อเป็นค่าวัว ค่าเหล้า ค่าไก่ ค่าสารพัด เครื่องแกงต่าง ๆ ปีนี้ขาดทุนเพราะคริสต์ไม่ถือผี คนที่นับถือคริสต์ในตำบลก็เยอะ เป็นกะเหรี่ยงสี่หมู่บ้าน เหลืออยู่หมู่บ้านเดียวที่เขาไม่ถือ กำนันเลยต้องควักเงินเอง... ”
(อดีตกำนันตำบลบ่อหลวงและดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนตำบล, 2563: สัมภาษณ์)
ในระดับหมู่บ้านมีการสืบทอดตำแหน่งผู้นำสำคัญที่ทำหน้าที่ในการประกอบพิธีกรรมระดับชุมชน ซึ่งแต่ละชุมชนที่มีการสืบทอดผู้นำชุมชนโดยมีชื่อเรียกแตกต่างกันไป มีการรวมกลุ่มกันตามเครือญาติ สายตระกูล จึงไม่มีความซับซ้อนในระดับการปกครองทางสังคม ด้วยความเป็นเครือญาติที่ต้องช่วยเหลือเกื้อกูลกัน มีการแบ่งหน้าที่ทางสังคมด้วยการเป็นผู้นำ ผู้ดูแลปกป้อง ผู้นำพิธีกรรม โดยทั่วไปผู้นำการประกอบพิธีกรรม คือ ผู้อาวุโสในหมู่บ้านที่เป็นที่เคารพนับถือมีบทบาทด้านความเชื่อ ประเพณี และพิธีกรรมในหมู่บ้าน
ในส่วนของบ้านมืดหลองนั้น ผู้นำในพิธีคือ “สะมาง” ส่วนผู้สูงอายุจะทำหน้าที่กล่าวในพิธีเพื่อการสื่อสารกับผีไม่มีชื่อตำแหน่ง โดยจะเรียกชื่อของคนผู้นั้น โดยถือว่าผู้รู้ต้องรับหน้าที่กล่าวนำในพิธีไป ไม่มีการแต่งตั้ง ไม่มีการสืบทอด ในการเลือกผู้นำพิธีชาวบ้านต้องยอมรับด้วยคุณสมบัติคือ มีตำแหน่งทางสังคม เป็นที่เคารพนับถือ เป็นคนดี ไม่ติดอบายมุข หรือเสพของมึนเมา เมื่อบุคคลเสียชีวิตลงคนในชุมชนจะทำการเลือกใหม่ตามคุณสมบัติที่เหมาะสม ไม่เกี่ยวข้องกับการสืบทอดทางสายตระกูล ในพื้นที่บ้านมืดหลอง บ้านบ่อหลวง จังหวัดเชียงใหม่ จนถึงบ้านละอูบ จังหวัดแม่ฮ่องสอน สามารถแบ่งกลุ่มคนในสังคมเป็น 3 กลุ่ม (H.E.Kauffmann, 1972: 258-259) คือ 1) สะมางสืบเชื้อสายมาจากขุนหลวงวิลังคะ 2) ลำ (Lam) เป็นระดับรองลงมา หรือที่บ้านป่าแป๋เรียกว่า “ปูลำ” (ปิชญา ตะนอย, 2560: 65) 3) ลัวะ กลุ่มคนทั่วไปในสังคมตำ แหน่งของลำอาจเกิดขึ้นภายหลัง (H.E.Kauffmann, 1972: 259) เป็นผู้อาวุโสในชุมชนที่ไม่ใช่ตระกูลสะมาง เป็นตำแหน่งผู้นำความเชื่อทั้งในพิธีกรรมทางการเกษตร การแต่งงาน การสร้างบ้าน งานศพ ลำมีผู้ช่วยเป็นผู้สืบทอด เมื่อลำถึงแก่กรรมผู้ช่วยลำที่ได้เรียนรู้ทุกสิ่งจากลำ จะขึ้นมารับตำแหน่งแทน นอกจากสะมางแล้ว ในบ้านมืดหลองมีผู้นำในพิธี คือ สะมาง ผู้ทำพิธีสูงสุดเรียกว่า “ตะนก” มีผู้อาวุโสเป็นคนแนะนำในช่วงทำพิธีใช้คนผู้อาวุโสในหมู่บ้าน แต่ละปีจะทำพิธีเลี้ยงที่ “หยู” ทุกปีช่วงตานข้าวใหม่เอาหมูเอาไก่ไปเลี้ยง บุคคลที่ต้องเข้าร่วมเลี้ยงผีช่วงตานข้าวใหม่จะกำหนดเฉพาะคนที่อยู่อาศัยในชุมชนมาอย่างยาวนาน ในขณะที่คนที่มาอยู่ใหม่ไม่ได้ถูกกำหนดให้เข้าร่วมงานดังกล่าว
ตะนก ในกลุ่มย่อยสามารถใช้ผู้อาวุโสที่เป็นที่นับถือในหมู่บ้านเป็นผู้นำในการประกอบพิธี ส่วนการทำพิธีใหญ่ เช่น นกสไป๊ท์ควรมอบให้ตะนกสูงสุดเป็นผู้จัดการ ด้านการสืบทอด ที่ประชุมในหมู่บ้านจะคัดเลือกผู้รู้ที่มีความเหมาะสม เป็นที่นับถือและยอมรับของคนในหมู่บ้าน การเลือกผู้นำที่แท้จริงของลัวะบ้านมืดหลองจะพิจารณาจากคนที่ดีไปรับตำแหน่งสำคัญที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งทางราชการ ส่วนผู้นำพิธีกรรมจะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของคนในหมู่บ้าน ในกรณีที่เป็นผู้สูงอายุเมื่อไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ก็จะต้องหาคนใหม่มาปฏิบัติหน้าที่แทน ส่วนบุคคลที่จะกล่าวในพิธี มีการพิจารณาจากตำแหน่งทางสังคม การมีคนเคารพนับถือ ไม่เสพอบายมุข เป็นต้น
ในส่วนของบ้านบ้านบ่อหลวงนั้น ไม่มีตระกูลสะมาง ผู้นำในการประกอบพิธีกรรม เรียกว่า “ตั้งข้าว” เป็นผู้บอกกล่าวแก่ผีที่จะเลี้ยง ต้องมีเชื้อสายของผีที่เป็นผู้นำ โดยที่บ้านบ่อหลวงยกให้ผู้ที่มีเชื้อสายเจ้าขุน ที่มีนามสกุลว่า “ขุนแก้ว” และ “สุนันตา”
หน้าที่ของทั้งสองตระกูลที่มีต่อชุมชนจะมีบทบาทที่แตกต่างกัน โดยตระกูลสุนันตา เป็นเชื้อผีในพิธีกรรมต่าง ๆ มีหน้าที่เป็นตั้งข้าว เป็นผู้บอกกล่าวเลี้ยงผีบ้าน การโยกย้ายหรือสลับสับเปลี่ยนหน้าที่ระหว่างสองตระกูลจะกระทำไม่ได้ เช่น กรณีที่พระพุทธรูปรักษาไว้โดยตระกูลสุนันตา ได้ประชุมร่วมกันในหมู่บ้านแล้วมีความเห็นว่าไม่ถูกต้อง (ขึด) ต้องย้ายกลับมารักษาที่บ้านตระกูลขุนแก้วดังเดิม โดยการประชุมในหมู่บ้านเพื่อร่วมพิจารณาประกอบด้วยกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ตัวแทนตระกูลขุนแก้ว ตระกูลสุนันตา และผู้สูงอายุที่นับถือในหมู่บ้านต้องมาร่วมตัดสินว่าควรให้ตระกูลขุนแก้วรักษาไว้ดังเดิม
ส่วนตระกูลขุนแก้ว เป็นเชื้อสายตระกูลขุน มีหน้าที่ปกปักรักษาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของหมู่บ้าน คือ หลัดถา (บางพื้นที่เรียกว่า หลาบ) เป็นแผ่นโลหะตีเป็นแผ่นบางขนาดใกล้เคียงกับใบลาน สำหรับจารอักษรลงไป เป็นอักษรธรรมล้านนา ปัจจุบันกลุ่มชาติพันธุ์ลัวะบ้านบ่อหลวงไม่สามารถอ่านอักษรนี้ได้ จึงได้มีการเก็บรักษาด้วยการฝัง การเปิดหลัดถาเฉพาะในโอกาสที่จำเป็น ในการเปิดแต่ละครั้งต้องเลี้ยงหมูหนึ่งตัว มีการรักษาพระพุทธรูป 1 องค์ เป็นพระพุทธสิหิงค์ให้ชาวบ้านสระสรง ไม่ประดิษฐานไว้ในวัด ต้องรักษาไว้ที่บ้านคนในตระกูลขุนแก้ว ถ้ามีการเปลี่ยนหน้าที่ เช่น คนที่ดูแลอยู่เดิมย้ายบ้านไป หรือเสียชีวิต ต้องให้เชื้อสายคนต่อไปรักษาแทน (นายหม่อม จูแวน และ นายปั๋น ขุนแก้ว, 2561: สัมภาษณ์)
ภาพรวมในการสืบสายตระกูล ชาวลัวะถือสายตระกูลทางฝ่ายชายในครอบครัวที่มีทั้งผู้หญิง และผู้ชาย ชาวลัวะจะนับทั้งหญิงและชายที่เป็นพี่น้อง ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วจะต้องถือผีตามสายตระกูลของฝ่ายชายและต้องเปลี่ยนการเรียกสถานภาพตามสามี (สมาคมศูนย์รวมการศึกษาและวัฒนธรรมของขาวไทยภูเขาในประเทศไทย, 2563) หลังแต่งงานผู้ชายจะนำภรรยามาอยู่บ้าน จนกระทั่งลูกชายคนต่อไปแต่งงานก็แยกไปปลูกเรือนเป็นของตัวเองต่างหาก (บุญช่วย, 2506) ในขณะที่ชาวลัวะบ้านช่างหม้อ อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน หลังแต่งงานผู้ชายต้องมาอยู่บ้านผู้หญิง ผู้ชายมีโอกาสนำภรรยากลับไปบ้านบิดามารดาของตนได้ ก็ต่อเมื่อมีบุตรด้วยกัน หากผู้หญิงไปอยู่บ้านฝ่ายชายต้องไปนับถือผีทางฝ่ายชาย (บุญช่วย, 2506, น.186)
อย่างไรก็ดี ชาวลัวะมีประเพณีการแต่งงานแบบผัวเดียวเมียเดียว เมื่อหลังแต่งงานฝ่ายหญิงต้องเข้าไปอยู่ในบ้านของฝ่ายชายและนับถือผีบรรพบุรุษของฝ่ายชาย โดยทั่วไปเมื่อมีบุตร ในกรณีที่เป็นบุตรชายคนโต เมื่อแต่งงานแล้วจะต้องออกไปสร้างบ้านของตนเอง ส่วนบุตรชายคนเล็กที่ได้รับมรดกของบ้านจะต้องทำหน้าที่ดูแลพ่อแม่ตลอดชีวิต ในด้านการแบ่งหน้าที่ในครัวเรือนจะใช้อายุและเพศเป็นเกณฑ์ในการแบ่งงานกันทำผู้หญิงจะทำหน้าที่หาฟืน ตักน้ำ ตำข้าว ทำอาหาร และทอผ้า ส่วนผู้ชายมีหน้าที่ในการซ่อมแซมบ้านเรือน ทำนา ล่าสัตว์ และการประกอบพิธีกรรมส่วนงานในไร่นั้นเป็นหน้าที่ของทั้งผู้หญิงและผู้ชาย (ประเสริฐ ชัยพิกุสิต, 2542)
กลุ่มชาติพันธุ์ลัวะเมืองเชียงใหม่และเมืองน่านได้สืบสายตระกูลผ่านการนับถือผีเดียวกัน จึงเป็นกลุ่มที่มีความสัมพันธ์เชิงเครือญาติในการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน รวมทั้งการกำหนดข้อปฏิบัติในกลุ่มสายตระกูลเกี่ยวกับการสืบทอดผู้นำในกลุ่ม และการแต่งงานที่มีข้อห้ามในการแต่งงานกับคนในตระกูลเดียวกันแม้ว่าทั้งสองพื้นที่จะมีความแตกต่างของนามสกุล แต่ยังสามารถระบุตัวตนของเครือญาติได้ เนื่องจากจำนวนประชากรในแต่ละหมู่บ้านมีจำนวนน้อย ในพิธีเลี้ยงผีจึงมีโอกาสพบปะกันสม่ำเสมอ
ส่วนการแบ่งสายตระกูลของกลุ่มชาติพันธุ์ลัวะบ้านบ่อหลวง ประกอบด้วย 2 ตระกูลใหญ่ คือ ตระกูลสุนันตา และตระกูลขุนแก้ว การศึกษาเรื่องสายตระกูลจากผลงานของบุญช่วย ศรีสวัสดิ์ (2545 : 117) ได้กล่าวถึงผีบ่อเหล็กทั้ง 5 ได้แก่ ขุนสุนันตาหรือขุนตา ขุนตอง ขุนวิลังคะ ขุนแก้วนาโหลง ขุนอะลองปักแวง ว่าชาวบ้านได้ตั้งหัวหน้าเป็นตัวแทนของผีเหล่านั้น แต่ละคนใช้เป็นต้นตระกูลของตน เช่น ขุนตาเป็นต้นตระกูลสุนันตา ขุนแก้วนาโหลงเป็นต้นตระกูลขุนแก้ว ส่วนขุนอะลองปักแวงมีหน้าที่ป่าวประกาศเมื่อจะมีพิธีการต่าง ๆ คือ เป็นกรรมการผู้จัดการพิธีการ ปัจจุบันไม่พบนามสกุลนี้แล้ว ส่วนขุนตองกับขุนหลวงวิลังคะไม่มีการกล่าวว่าสืบทอดโดยตระกูลใด ปัจจุบันพบว่า ตระกูลขุนแก้ว และตระกูลสุนันตา ทำหน้าที่เป็นผู้นำการเลี้ยงผีในหมู่บ้าน และใช้นามสกุลตามชื่อตระกูลมาถึงปัจจุบัน มีข้อห้ามชายหญิงในสองตระกูลนี้แต่งงานกัน นอกจาก
ขุนแก้ว และสุนันตา ในตำบลบ่อหลวงยังสามารถสืบได้ด้วยการเลี้ยงผี การทำพิธีมัดมือสู่ขวัญลูกชายคนแรกของครอบครัวด้วยการเลี้ยงผีบรรพบุรุษด้วยควายที่บ้านนาฟ่อน ตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด ทำขึ้นใน 4 ตระกูล ประกอบด้วย ตระกูลที่ “วงศา หนูสา มานะ และบุญมา” เป็นที่น่าสังเกตว่าการเปลี่ยนมานับสายตระกูล และเครือญาติตามนามสกุลเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเมื่อกำหนดให้ตั้งนามสกุล (ตั้งแต่ พ.ศ. 2456) ทำให้ผู้หญิงในตระกูลต้องเปลี่ยนนามสกุลตามสามี การสืบลูกหลานทางฝ่ายหญิงอาจไม่เคร่งครัดและสำคัญเท่าการสืบลูกหลานทางฝ่ายชายที่เป็นผู้นำการเลี้ยงผีในตระกูล (อินทุอร จานะ, 2561)
การสืบสายตระกูลตามนามสกุลเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นประมาณ 100 ปีที่ผ่านมา เห็นได้ชัดที่บ้านมืดหลอง อำเภอแม่แจ่ม ที่สืบสายตระกูลตามชื่อหมู่บ้าน โดยกลุ่มใหญ่ในหมู่บ้าน คือ เยืองมะพลอง (เยือง แปลว่า บ้านหรือหมู่บ้าน) และตระกูลที่มาอยู่ด้วย คือ เยืองเหงียก เยืองเดียม และเยืองแซม ที่มาจากหมู่บ้านอื่น จึงเป็นคนในตระกูลอื่นตั้งชื่อตามหมู่บ้านเช่นกัน ข้อมูลจากการศึกษาวิจัย ระบุว่า เครือญาติของกลุ่มชาติพันธุ์ลัวะในเขตแม่ฮ่องสอน มีจำนวน 24 กลุ่ม โดยมีตระกูลยงญัก (เงี้ยก) และยงเดียม (สำเนียงบ้านมืดหลองออกเสียงว่าเยืองเหงียก และเยืองเดียม) เป็น 2 กลุ่มที่รวมอยู่ในนั้น ทั้งสองกลุ่มนี้ได้มาอยู่รวมกับเยืองมะพลองซึ่งเป็นประชากรกลุ่มใหญ่ในบ้านมืดหลอง ในการอยู่รวมกันได้เลี้ยงผีประจำแต่ละกลุ่ม หรือตามตระกูลของตน การระบุว่าเป็นตระกูลเดียวกันหรือไม่ อาจสังเกตได้จากการพิธีกรรมการเลี้ยงผีบรรพบุรุษของแต่ละตระกูล (จันทรบูรณ์ สุทธิ และคณะ, 2539)
บทบาทของผู้หญิงลัวะ/ละเวือะ
ผู้หญิงลัวะ หลังแต่งงานจะย้ายไปอาศัยอยู่ที่บ้านสามี ในอดีตสังคมลัวะอยู่ภายใต้ระบบสังคมชายเป็นใหญ่ โดยอยู่บนพื้นฐานความเชื่อว่าผู้ชายเป็นช้างเท้าหน้า ผู้หญิงเป็นช้างเท้าหลังมีหน้าที่เลี้ยงลูก ทำงานบ้าน นอกจากนี้ยังไม่มีโอกาสได้รับการศึกษา เนื่องจากการออกไปเรียนหนังสือเป็นสิ่งที่ไม่สมควรและเป็นกาลกิณีของหมู่บ้าน
ในอดีตจะมีกฎเกณฑ์สำหรับผู้หญิงลัวะว่าต้องผ่าฟืน ทำกับข้าว และทำงานบ้าน หากทำไม่ได้จะหาสามียาก ผู้หญิงมีหน้าที่ปรนนิบัติสามี เมื่อตะวันตกดินแล้วห้ามออกจากบ้านเพราะถือว่าเป็นสิ่งที่ผิดระเบียบ ปัจจุบันยังมีการสอนเด็กผู้หญิงในหมู่บ้านเรื่องการห้ามออกจากบ้านหลังตะวันตกดินเนื่องจากเกรงว่าจะได้รับอันตรายจากการถูกข่มเหงจากผู้ชาย ยิ่งไปกว่านั้น ในอดีตหากเป็นผู้หญิงที่แต่งงานแล้วจะมีกฎระเบียบที่เข้มงวดมากกว่าผู้หญิงโสด มีหลักการครองเรือนหลายประการ เช่น การเคารพสามี กาซักผ้า ทำกับข้าว ผ่าฟืน เป็นต้น โดยงานภายในบ้านถือเป็นหน้าที่ของผู้หญิง ส่วนผู้ชายจะมีหน้าที่ทำงานใหญ่นอกบ้าน
ระบบความเชื่อ ประเพณี และพิธีกรรม
ศาสนาและความเชื่อ
ชาวลัวะนับถือศาสนาพุทธ ควบคู่กับการนับถือผีมาตั้งแต่อดีตจนกระทั่งปัจจุบัน ชาวลัวะมีความเชื่อว่าชาติพันธุ์ของตนเองเป็นผู้สร้างวัดเจดีย์หลวงในจังหวัดเชียงใหม่ และเชื่อว่าเสาอินทขิลเป็นที่สิงสถิตของผีบรรพบุรุษชาวลัวะ ในเวลาต่อมาชาวลัวะถูกไล่ขึ้นไปอยู่บนเขา ซึ่งทำให้ชาวลัวะห่างไกลจากพุทธศาสนา เนื่องจากบนเขาไม่มีวัดและพระสงฆ์ ส่งผลให้ความเชื่อและการนับถือศาสนาพุทธของชาวลัวะลดลงและหันมานับถือผีมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันมีชาวลัวะจำนวนมากที่ยังคงนับถือศาสนาพุทธและมีการบูชาพระชื่อดังมาห้อยคอเพื่อความเป็นสิริมงคล (ประเสริฐ ชัยพิกุสิต, 2542)
ในส่วนของการนับถือผี ชาวลัวะมีความเชื่อว่า ทุกสถานที่มีผีสิงสถิตอยู่ เช่น ผีบ้านผีเรือน ผีฟ้า ผีภูเขา ผีเข้าประตูหมู่บ้าน เป็นต้น ผีเหล่านี้มีทั้งผีดีและผีร้าย ในบางครั้งอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดเหตุร้ายในหมู่บ้านหรือทำให้คนในหมู่บ้านเจ็บป่วย ชาวลัวะมีการติดต่อกับผีผ่านการเซ่นไหว้ด้วยการฆ่าสัตว์แล้วตัดชิ้นส่วนต่าง ๆ ให้ผีตามความชอบของผีแต่ละประเภท สัตว์ที่นิยมนำมาเซ่นไหว้ผีมีหลายประเภท เช่น วัว กระบือ สุนัข ไก่ เป็นต้น การเซ่นไหว้ผีจะทำพิธีกรรมโดยสมังและลำ หรือผู้มีอาคมของหมู่บ้าน (ประเสริฐ ชัยพิกุสิต, 2542) นอกจากนี้ชาวลัวะยังมีการถือผีเสื้อบ้าน (ผีหมู่บ้าน) การส่งเคราะห์ การผูกด้ายข้อมือถือขวัญ เวลาเจ็บป่วยจะใช้ยารากไม้ สมุนไพร เสกเป่า และทำพิธีฆ่าไก่เซ่นผี หากเสียชีวิตจะทำพิธีเช่นเดียวกับชาวเหนือ มีพระสงฆ์บังสุกุล นำศพไปป่าช้า เพื่อฝังมากกว่าการเผา หากเสียชีวิตอย่างผิดธรรมชาติจะทำการเผา
ในส่วนสถานที่ที่ชาวลัวะถือว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ มักเป็นพื้นที่ที่ใช้สำหรับประกอบพิธีกรรมการเลี้ยงผี โดยมีความเชื่อว่า หากมีผู้ใดที่เข้าไปกระทำการใด ๆ ที่เป็นการกระทบกระเทือนถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในบริเวณดังกล่าวจะส่งผลให้ชุมชนเกิดสิ่งเลวร้ายตามมา เช่น ภัยพิบัติ โรคภัยไข้เจ็บ การทำมาหากินติดขัด เป็นต้น สถานที่เลี้ยงผีหลักเมืองในบริเวณหมู่บ้านจะมีศาลาเลี้ยงผีที่เรียกว่า “เหยือะยงู” มีเสาสะกังตั้งไว้ด้านหน้า ต่างจากสถานที่เลี้ยงผีอื่น ๆ ที่ไม่มีศาลา จะตั้งอยู่บริเวณขอบนอกของหมู่บ้าน โดยจะมีศาลาเล็ก ที่เรียกว่า “เฉลว” อยู่บริเวณต้นไม้ที่มีขนาดใหญ่ พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ภายในบ้านของชาวลัวะจะถูกแบ่งแยกเป็นห้อง ภายในห้องจะมีเตาไฟสำหรับหุงอาหารและเตาไฟสำหรับเลี้ยงผีสะมัง (กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ, 2555)
นอกจากนี้ ชาวลัวะยังมีความเชื่อเรื่องขวัญหรือวิญญาณเช่นเดียวกับความเชื่อของคนไทย ที่เชื่อว่า แต่ละคนจะประกอบไปด้วย 32 ขวัญ หากขวัญใดขวัญหนึ่งออกจากตัวไปจะทำให้เกิดการเจ็บป่วยต้องทำพิธีเรียกขวัญด้วยการผูกข้อมือด้วยด้ายสีขาว
การนับวันเดือนปีของชาวลัวะแตกต่างจากชาวเหนือและไทยภาคกลาง กล่าวคือ เดือน 4 ของลัวะเป็นเดือน 5 ของไทย
นอกจากนี้ ยังมีชาวลัวะที่นับถือศาสนาอื่น พบในหมู่บ้านชาวลัวะจังหวัดแม่ฮ่องสอน ที่มีผู้คนนับถือศาสนาคริสต์จำนวนมาก ตั้งแต่ 300 คนขึ้นไป หมู่บ้านดังกล่าวมีผู้นำทางศาสนาคริสต์ ประมาณ 6 คน โดยจำนวนผู้นำทางศาสนาขึ้นอยู่กับจำนวนผู้นับถือศาสนา ผู้นำทางศาสนามีบทบาทสำคัญในการแบ่งหน้าที่เพื่อบริการทางศาสนาให้กับสมาชิกและดูแลให้สมาชิกปฏิบัติตามคัมภีร์ของพระเยซู ดังเช่นกรณีตัวอย่างของลัวะที่บ้านละอุบ ซึ่งนับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนท์ มีผู้นำทางศาสนาซึ่งเป็นบุคคลสำคัญและเป็นที่ยอมรับนับถือของชาวคริสต์ในหมู่บ้าน จำนวน 6 คน ซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการเป็นผู้อวยพรให้กับคู่บ่าวสาว และเป็นผู้นำในการประกอบพิธีทางศาสนาคริสต์ในทุกวันอาทิตย์ (กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ, 2555)
ประเพณี เทศกาล และพิธีกรรม
พิธีกรรมที่เกี่ยวกับผีของชาวลัวะ ได้แก่ พิธีเลี้ยงผีหมู่บ้าน พิธีเลี้ยงผีเรือน พิธีเลี้ยงผีฟ้าผ่า พิธีเลี้ยงผีบรรพบุรุษ พิธีกรรมเลี้ยงผีบ่อเหล็ก พิธีสำหรับการเฉลิมฉลองและขอบคุณผีเจ้าที่สำหรับผลผลิต การตั้งครรภ์และคลอดบุตร พิธีเลี้ยงผี เพื่อบอกกล่าวต้อนรับสมาชิกใหม่ ประเพณีด้านการแต่งงาน (ณัฏฐวี ทศรฐและสุริยา รัตนกุล, 2539) โดยมีรายละเอียด ดังนี้
พิธีเลี้ยงผีหมู่บ้าน หรือ “โนกควายเนิอมหรือโนกสปัยซ” ในการเลี้ยงผีหมู่บ้านจะใช้เวลา 4-5 ปี หรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจของหมู่บ้าน การเลี้ยงผีหมู่บ้านมีเป้าหมายสำคัญในการปกป้องดูแลคนในหมู่บ้านและช่วยให้ทำไร่ทำนาได้พืชผลอุดมสมบูรณ์ การเลี้ยงผีประจำหมู่บ้านแบ่งออกเป็น 3 วัน คือ 1) วันดา เป็นวันที่เตรียมของสำหรับทำพิธี 2) วันเลี้ยงผี นำควายไปผูกไว้ที่เสาสะกังใช้หอกแทงควายจนตายนำเลือดควายและชิ้นส่วนต่าง ๆ อย่างละน้อยบูชาที่เสา มีการตีกลองประกอบตลอดตั้งแต่เริ่มจนเสร็จพิธี ในวันงานพิธีเลี้ยงผีเสื้อบ้าน (ผีหมู่บ้าน) จะทำซุ้มประตูสานไม้เป็นรูปรัศมี 8 เฉก ติดไว้เพื่อห้ามไม่ให้คนต่างถิ่นเข้าสู่หมู่บ้าน เครื่องหมายนี้ชาวภาคเหนือเรียกว่า "ตะแหลว" ซึ่งคนไทยภาคกลางเรียก "เฉลว" จะปิดบ้านทำพิธีเลี้ยงผีเสื้อบ้าน 1 วัน ถ้าเดินทางไปพบเครื่องหมายเฉลวนี้แล้ว ต้องหยุดอยู่ มีธุระอะไรก็ตะโกนเรียกชาวบ้านให้ไปดูกันที่ตรงนั้น เช่น ขอดื่มน้ำหรือเดินหลงทางมา ถ้าขืนเดินล่วงล้ำเขตหมู่บ้านของเขาก็จะถูกปรับเป็นเงิน 5 บาท ถ้าไม่ยอมให้ปรับเขาบังคับให้ค้างแรม 1 คืน เวลาเกิดโรคสัตว์ระบาดหรือไข้ทรพิษเกิดขึ้นแก่คนภายในหมู่บ้านแล้ว ก็จะปิดเฉลวหรือเครื่องหมายห้ามเข้าหมู่บ้านเช่นเดียวกันและ 3) วันส่งเคราะห์ (เตาสะอาง) หลังจากเลี้ยงผีหมู่บ้านแล้วส่งเคราะห์โดยใช้หมาดำและลูกหมูรวมทั้งกระทงส่งเคราะห์จากทุกบ้าน ขั้นตอนสุดท้ายในการส่งเคราะห์จะนำหมาดำลอดใต้ศาลาผี คนในหมู่บ้านสาดน้ำไล่เคราะห์ และยิงปืน จุดประทัด โห่ร้อง แสดงความยินดีที่สิ่งไม่ดีทั้งหลายออกไปจากหมู่บ้าน
พิธีเลี้ยงผีเรือน หรือ “โนกซะมา” การเลี้ยงผีเรือน มักจัดขึ้นในช่วงที่ลูกหลานในครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้าการเลี้ยงเพื่อให้ผีบ้านผีเรือนดูแลปกป้องคนในครอบครัวและสัตว์เลี้ยง อีกทั้งช่วยให้ทำการเกษตรได้ดี ในการเลี้ยงโนกชะมานี้จะเลี้ยงผีโชซึ่งอยู่ในห้องนอนไปพร้อมกัน การทำพิธีจะจัดขึ้น 2 วัน คือ 1) วันดา (วันเตรียมงาน) ที่จะมีการเตรียมใบตองป่าไม้ไผ่และปลาเพื่อใช้เลี้ยงผีในวันรุ่งขึ้น และ 2) วันเลี้ยงผี ที่คนหนุ่มต้องออกไปหาต้นละโยะมาเปลี่ยนต้นเดิม และประดับตกแต่งด้วยใบตองที่สาวเป็นผู้ประดิษฐ์ตามประเพณีเดิม
พิธีเลี้ยงผีฟ้าผ่า เมื่อเกิดฟ้าผ่าบริเวณใดของหมู่บ้าน เช่น ที่นา ที่ไร่ ชาวลัวะจะไม่ไปบริเวณนั้นจนกว่าจะขึ้นวันใหม่ เพราะเชื่อว่า เศษไม้ที่เกิดจากฟ้าผ่า หากโดนเท้าจะทำให้เท้าแตกเมื่อขึ้นวันใหม่ชาวบ้านจะเลี้ยงผีฟ้าผ่าทั้งหมู่บ้าน ยกเว้นผู้ชายที่มีภรรยาตั้งครรภ์ ผู้หญิงที่ร่วมพิธีจะต้องแต่งกายด้วยเสื้อสีดำและทุกคนต้องทาหน้าด้วยเขม่าไฟจนดำ เมื่อผู้ทำพิธีพูดหรือสวดมนต์ติดต่อกับผี ผู้ที่เข้าร่วมพิธีจะต้องหัวเราะส่งเสียงดัง
พิธีเลี้ยงผีบรรพบุรุษ การเลี้ยงผีบรรพบุรุษของชาติพันธุ์ลัวะในเมืองน่านมีความคล้ายคลึงกับการเลี้ยงผีบรรพบุรุษของกลุ่มชาติพันธุ์ลัวะในเมืองเชียงใหม่ และกลุ่มชาติพันธุ์ไทพื้นราบ การเลี้ยงผีบรรพบุรุษ มีเป้าหมายเพื่อระลึกถึงปู่ย่า ตายาย เป็นพิธีกรรมในระดับครัวเรือนและสายตระกูล ส่วนใหญ่เป็นการบอกกล่าวให้ผีบรรพบุรุษได้ช่วยปกป้องรักษาลูกหลานให้อยู่ดีกินดี ปลอดภัยจากโรคภัยไข้เจ็บ ช่วงเวลาเลี้ยงผีบรรพบุรุษ ส่วนใหญ่จัดขึ้นในช่วงเวลาสำคัญ เช่น วันสงกรานต์ หรือวันขึ้นปีใหม่เมืองเมื่อลูกหลานอยู่กันพร้อมหน้าจะเลี้ยงผีบรรพบุรุษด้วยของเซ่นไหว้ คือ ไก่ต้ม เหล้า พร้อมสรวยดอกไม้ (กรวยดอกไม้ ออกเสียงตามกลุ่มชาติพันธุ์ว่า สรวยดอกไม้) เทียน ส่วนพิธีกรรมการเลี้ยงผีบรรพบุรุษของกลุ่มชาติพันธุ์ลัวะในเมืองเชียงใหม่ ยังคงสืบทอดกันอย่างเคร่งครัด ดังเช่นกรณีบ้านบ่อหลวง ตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด มีพิธีเลี้ยงผีละมาง ซึ่งเป็นผีบรรพบุรุษ โดยความเชื่อเรื่องผีละมางต้องทำพิธีเลี้ยงทุกปี การเลี้ยงผีละมาง ต้องเลี้ยงด้วยควาย ในช่วงออกพรรษา โอกาสในการเลี้ยงจะเกิดขึ้นเมื่อมีความผิดปกติในครอบครัวลูกหลานที่มีอาการเจ็บป่วยจึงต้องทำพิธีดูเมื่อ (ลงทรง) จากนั้นเจ้าทรงจะบอกให้ลูกหลานทำพิธีเลี้ยงควายหนึ่งตัว ครอบครัวนั้นจะต้องจัดพิธีเลี้ยง เพื่อให้ลูกหลานหายจากอาการเจ็บป่วย ซึ่งคนในหมู่บ้านยืนยันว่า ทางการแพทย์ไม่สามารถให้คำอธิบายได้ การเลี้ยงผีละมางจะทำพิธีของแต่ละครอบครัว หากจัดเลี้ยงร่วมกันเป็นตระกูล ก็จะเรียกคนทั้งตระกูลมาทำพิธีด้วยกัน
พิธีเลี้ยงผีบรรพบุรุษที่บ้านมืดหลอง ตำบลทับ อำเภอแม่แจ่ม เป็นงานประจำปี เรียกว่า การตานไปหา คล้ายคลึงกับการอุทิศส่วนกุศล จัดขึ้นในเวลาที่ตานข้าวใหม่ช่วงหลังเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้วจะเลี้ยงเพื่ออุทิศให้พ่อแม่ บรรพบุรุษผู้ล่วงลับโดยจัดเลี้ยงที่ศาลาข้างเสาสะกาง หรือที่เรีกว่า “หยู” ทุกหลังคาเรือน โดยถือว่าหยูเป็นที่สถิตของวิญญาณหรือผีของกลุ่มตระกูล เยืองมะพลอง บ้านมืดหลอง
ส่วนความเชื่อเรื่อง “การเลี้ยงผี” เพื่อระลึกถึงผู้ตาย เช่น ตายครบเวลา 1 เดือน ต้องเลี้ยงไก่ที่ไหนก็ได้ เช่น เลี้ยงหน้าบ้าน เลี้ยงในบ้าน เลี้ยงที่หยู และฆ่าลูกหมูตัวผู้ 1 ตัว สำหรับเลี้ยงผี หลังจากนั้นเป็นหมูตัวแม่ 1 ตัว ถ้ามีฐานะสามารถฆ่าควายเพื่อเลี้ยงหรือทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ เมื่อเสร็จพิธีลูกหลานสามารถนำเนื้อสัตว์เหล่านั้นมากินร่วมกันได้ หลังจากนั้น การเลี้ยงผีในครั้งต่อไป ขึ้นอยู่กับการกำหนดของเจ้าภาพ อาจจะครบรอบ 100 วัน หรือครบรอบ 2-3 เดือน
ส่วนการเดินทางของคนในหมู่บ้าน หากต้องออกไปจากหมู่บ้านให้บอกกล่าวกับผีบนที่อยู่ในป่าอนุรักษ์ ให้ผีคุ้มครองเพื่อให้ลูกหลานเดินทางปลอดภัย ผู้บอกกล่าวต้องนำสรวยดอกไม้ไปบอกกล่าว คล้ายกับหน้าที่ของผีบรรพบุรุษที่คุ้มครอง โดยสรุปแล้ว ความเชื่อเรื่องผีบรรพบุรุษยังคงดำรงอยู่กับทุกกลุ่มชาติพันธุ์ แต่จะมีความแตกต่างกันในรายละเอียดในการทำพิธีเลี้ยง ด้วยวัตถุประสงค์เพื่อให้คุ้มครอง และแสดงความขอบคุณ
การนับถือผีบรรพบุรุษทำให้เกิดความเชื่อเรื่องระบบการดูแลสมาชิกในสายตระกูลให้ประพฤติดี หากทำผิดแล้วจะถูกผีบรรพบุรุษลงโทษ ทำให้ผู้อาวุโสในตระกูลมีอาการเจ็บป่วย ต้องมีการถามเพื่อให้รับรู้สาเหตุของการเจ็บป่วย ลูกหลานที่กระทำผิดจะเป็นที่รับรู้ของทุกคนในตระกูล ต้องทำพิธีเลี้ยงผีเพื่อขอขมา ความเชื่อเรื่องหมอเมื่อเป็นการสนับสนุนผีบรรพบุรุษ ซึ่งเป็นระบบควบคุมคนในตระกูลให้มีความเกรงกลัวการกระทำผิด และสามารถอยู่ร่วมกันด้วยความสามัคคีช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
พิธีกรรมเลี้ยงผีบ่อเหล็ก พิธีกรรมนี้เกิดขึ้นในอดีตจนกระทั่งปัจจุบัน เมื่อปี พ.ศ. 2562 ชุมชนชาวลัวะ บ้านบ่อหลวง ต.บ่อสลี อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ ได้จัดพิธีกรรมเลี้ยงผีบรรพบุรุษ หรือ “ศาลเจ้าบ่อเหล็ก” ณ บ้านแม่โถ ต.บ่อสลี นักโบราณวรรณคดี ชี้ว่า ในอดีตบริเวณนี้พบร่องรอยมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ อายุเก่าแก่มากกว่า 1500 ปี ที่มีการขุดแร่เหล็ก เพื่อหลอมแร่ให้เป็นเหล็กสำหรับทำเป็นเครื่องมือการเกษตร เช่น จอบ เสียม มีดดาบ อาวุธ (เชียงใหม่นิวส์, 2562)
ในการประกอบพิธีกรรมการเลี้ยงผี ชาวบ้านจะเตรียมเครื่องสักการะ อาหาร ผลไม้ หมากพลู น้ำส้ม น้ำแดง และวัวตัวผู้ที่มีลักษณะสวยงาม 1 ตัว ไก่ 1 คู่ เพื่อเซ่นไหว้ ถวายให้กับเจ้าพ่อแสนเมืองหรือที่เรียกกันติดปากว่า “เจ้าบ่อเหล็ก” ชาวลัวะจะทำการเลี้ยงศาลเจ้าพ่อแห่งนี้ 3 ปี 1 ครั้ง ในการเลี้ยงผีนั้น เป็นการเลี้ยงผีด้วยวัวสามปีหนึ่งครั้ง และเลี้ยงด้วยไก่เป็นประจำทุกปี ในพิธีกรรมเลี้ยงผีจะมีการระดมทุนจากผู้คนในชุมชนโดยการเก็บเงินคนละสิบบาทในทุกตำบลเพื่อนำไปเลี้ยงผีที่บ้านโถ ในอดีตจะมีการระดมบ้านละสองบาท ปัจจุบันเก็บร้อยสองร้อยขึ้นอยู่กับพิธี ตอนเลี้ยงก็มีคนเฒ่าคนแก่ประมาณสี่-ห้าคน ส่วนการเลี้ยงผีโดงก็จะเก็บทุกบ้าน หากเป็นการเลี้ยงผีบ้านจะจัดเก็บเฉพาะในเครือญาติ ทั้งนี้ ในพื้นที่บ้านโถเป็นหมู่บ้านที่มีพิธีกรรมการเลี้ยงผีมายาวนาน และนิยมเลี้ยงผีในช่วงหน้าฝน ประมาณเดือนเก้า ความแตกต่างระหว่างการเลี้ยงผีบ่อเหล็กอดีตกับปัจจุบัน ผู้ให้สัมภาษณ์ระบุว่า
"...คนสมัยก่อนนี่พิถีพิถันเรื่องพิธีกรรมเลี้ยงผีมาก สมัยนี้ไม่ค่อยพิถีพิถัน ขั้นตอนนี่อยู่ที่บ่อ ไปเอาที่บ่อก่อนในตอนแรก คนจะตีเหล็กจะมีเตา แบกเหล็กไป เอาก๋วย(ตะกร้า) ไปหาบ ผีมีการเลี้ยงปีละครั้ง สมัยก่อนคนเชื่อเรื่องผีบ่อเหล็ก เลี้ยงกับเกือบจะทุกบ้าน สมัยนี้เลี้ยงกันสามปีครั้ง ใช้ไก่ใช้หมู ยังคงเก็บเงินทุกหลังคา เลี้ยงช่วงประมาณเดือนแปด เดือนเก้า ถ้าเลี้ยงไม่ทันเดือนแปดก็จะเลี้ยงเดือนเก้า ก่อนจะเลี้ยงจะสร้างเป็นหอไว้ตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย สร้างไว้ที่บ่อ ไปนอนสองคืนก่อนเลี้ยง เอาวัวไปมัดที่นั่น คนก็จะร้องเรียกผีทั้งหลายมาว่าวันพรุ่งนี้จะเลี้ยงนะมาดูวัวที่มัดตรงนี้สิ ร้องขอให้อยู่ดีมีสุข พิธีจะเริ่มช่วงเช้า ถึงช่วงเที่ยงช่วงบ่าย เลี้ยงผีบ่อเหล็กใช้วัวหนึ่งตัว ฆ่าวัวที่นั่นเลย ถ้าหากไม่เลี้ยงก็จะไม่ดี ถึงเวลาเลี้ยงก็ต้องเลี้ยง ไม่อย่างนั้นจะมีอาถรรพ์ จะไปขุดบ่อขุดดินก็ไม่ได้ จะทำอะไรก็ไม่ดี จะเจ็บไข้ ปีที่แล้วก็มีเลี้ยง ครบรอบสามปีพอดี มีการเก็บเงินอยู่...” (ปราชญ์ชุมชน บ้านบ่อหลวง 2563)
ประเพณี เทศกาลและพิธีกรรมที่เกี่ยวกับชีวิต
การตั้งครรภ์และคลอดบุตร
จากวิถีการดำรงชีวิตที่เรียบง่ายในการพึ่งพิงธรรมชาติ ผู้หญิงชาติพันธุ์ลัวะที่ตั้งครรภ์ยังทำงานบ้านและงานในภาคการเกษตรตามปกติจนกระทั่งใกล้คลอด ด้วยความเชื่อว่า การทำงานเพื่อให้คลอดลูกง่าย ในการทำคลอดอาศัยแม่ฮับ (หมอตำแย) ประจำหมู่บ้านเป็นผู้ทำคลอดให้แม่ลูกปลอดภัย ส่วนการปกป้องคุ้มครองด้านจิตใจ มีหมอผีมาทำพิธีบอกกล่าวผีเพื่อให้การคลอดดำเนินไปอย่างราบรื่น ปลอดภัย ไม่มีสิ่งชั่วร้ายมารบกวน ร่วมกับการช่วยเหลือและพึ่งพาอาศัยของญาติพี่น้องและสมาชิกในหมู่บ้านที่คอยเป็นกำลังใจให้
การทำคลอดของกลุ่มชาติพันธุ์ลัวะ บ้านมืดหลอง อำเภอแม่แจ่ม ทารกทุกคนจะคลอดบนเรือนมีแม่ช่าง (ออกเสียงแม่จ้าง) หรือหมอตำแยช่วยทำคลอด ทุกขั้นตอนในการทำคลอดจะใช้วิธีธรรมชาติ หญิงมีครรภ์จะดึงหรือโหนกับผ้าที่ผูกโยงกับขื่อ อยู่ในท่ายืนเข่าเพื่อให้เด็กคลอดออกมาตามธรรมชาติ การตัดสายสะดือเด็กใช้ผิวไม้ไผ่ ประเภทไม้ซาง สายสะดือขุดหลุมฝังไว้ใต้ถุนบ้าน รอบบริเวณนั้นใช้ไม้ไผ่เสียบล้อมให้ดูสวยงาม (บุญเพลิน ประชามีบุญ,2561 : สัมภาษณ์) จะเห็นว่า ขั้นตอนในการทำคลอดในอดีตต้องพึ่งพาหมอในหมู่บ้านที่มีประสบการณ์ด้านการทำคลอด ส่วนพิธีกรรมด้านความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่เพื่อให้ทารกและครอบครัวมีความอยู่ดีมีสุข จะนำทารกไปใส่ในกระด้งที่รองด้วยผ้าหนานุ่มแล้วอุ้มไปที่ประตูเรือน เพื่อทำพิธีโดยพูดว่า “หากเป็นลูกผีก็ขอให้ผีเอาไป หากไม่เป็นลูกผี เป็นลูกคนก็จะขอเลี้ยงไว้ และห้ามผีมารบกวนอีก” พูดประมาณ 2-3 ครั้ง จากนั้นนำเด็กกลับเข้ามาในเรือน (แผน หอมดอก, 2561 : สัมภาษณ์) พิธีกรรมดังกล่าว มีความคล้ายคลึงกับพิธีกรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ไทที่เชื่อเรื่องพ่อเกิดแม่เกิด
จากนั้น ผู้อาวุโสและเครือญาติจะดูแลทารกเพื่อสร้างความรักความอบอุ่นให้เกิดขึ้น รวมถึงกล่าวขอบคุณผีบรรพบุรุษ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่ช่วยให้การทำคลอดปลอดภัยทั้งแม่และทารก สำหรับผู้ที่มาช่วยทำคลอด ทั้งแม่ฮับ หมอผี ผู้เฒ่าผู้แก่ หรือแม้แต่ญาติพี่น้องที่มาร่วมยินดี ทางครอบครัวจะเตรียมเหล้า ไก่ต้มตามฐานะ เพื่อให้เป็นมงคลแก่เด็ก การคลอดทารกจึงถือเป็นวันแห่งความยินดีของพ่อแม่และญาติพี่น้องที่ได้ต้อนรับสมาชิกใหม่ของครอบครัว จึงได้จัดให้มีการฉลองทั้งการดื่มเหล้า รับประทานอาหารที่ทางครอบครัวจัดเตรียมไว้สำหรับการขอบคุณจึงถือเป็นการเสร็จพิธีการคลอด
การดูแลหลังคลอด กรณีบ้านมืดหลอง อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ กำหนดให้แม่หลังคลอด อยู่ไฟ 3 คืน โดยใช้เสื่อล้อมเป็นวงไว้ ใช้ไม้วางเป็นที่นั่ง เผาก้อนหินขนาดย่อม ๆ ให้แดง แม่ที่อยู่ไฟนั่งอยู่ใกล้หิน จะคอยเอาน้ำลวกก้อนหินให้เกิดความร้อนและควันลอยขึ้นมาโดนลำตัว นำใบไม้ชื่อ “ใบลอยโตย” ลักษณะคล้ายใบเป้าของคนพื้นราบมาเผาสำหรับรองที่นั่งให้เกิดความร้อน เพื่อขับน้ำคาวปลา ใช้เวลาทำ 3 วัน วันละ 3 ครั้ง เช้า กลางวัน และเย็น
อาหารที่หญิงอยู่ไฟสามารถรับประทานได้ เช่น ข้าวกับเกลือ เป็นระยะเวลา 3 วัน โดยไม่รับประทานอาหารประเภทอื่น นอกจากนี้จะต้องดื่มน้ำร้อน จึงเรียกว่าอยู่ไฟ หลังจากครบกำหนด 3 วัน จึงจะสามารถดำรงชีวิตและทำงานได้ตามปกติ
พิธีเลี้ยงผี เพื่อบอกกล่าวต้อนรับสมาชิกใหม่
กลุ่มชาติพันธุ์ลัวะบ้านมืดหลอง อำเภอแม่แจ่ม จะต้องทำพิธีเลี้ยงผีเพื่อบอกกล่าวต้อนรับสมาชิกใหม่ ภายหลังจากการคลอดทารกจะต้องทำพิธีเลี้ยงผี ที่ต้องนำหมูตัวผู้ 1 ตัว ไปเลี้ยงผีที่ศาลาสามแยกหน้าหมู่บ้าน หรือ หยู จากนั้นให้เลี้ยงผีเรือน ให้ครบทั้ง 2 แห่ง เพื่อผีในเรือนจะได้รู้ว่าครอบครัวมีสมาชิกใหม่ หากเลี้ยงผีไม่ครบลูกจะงอแง ตามปกติของคนลัวะที่ถือผีตามฝ่ายชาย จะมีความยินดีหากได้ลูกชายเนื่องจากลูกชายต้องกลับมาอยู่กับพ่อแม่ที่บ้าน ปัจจุบันแนวความคิดดังกล่าวได้สูญหายไปจากสังคมลัวะ
การแต่งงานและการหย่าร้าง
กลุ่มชาติพันธุ์ลัวะวัยหนุ่มสาวที่มีอายุ 15-20 ปี เป็นช่วงวัยที่ต้องแต่งงานเพื่อสร้างครอบครัวและช่วยกันทำมาหาเลี้ยงชีพ หนุ่มสาวมีโอกาสพบปะกันตามสถานที่ต่าง ๆ ทั้งการเอามื้อเอาแรงในไร่ข้าว ในชุมชนหรือต่างชุมชนที่ฝ่ายชายมักเดินทางเพื่อหาโอกาสพบปะกับผู้หญิงที่เหมาะสมจะเป็นคู่ครอง
การคบหากันของหนุ่มสาวอยู่ในความดูแลของผู้ใหญ่ในสายตระกูลเสมอ เพื่อหลีกเลี่ยงการแต่งงานในตระกูลเดียวกัน ซึ่งเป็นข้อห้ามที่เคร่งครัด หากละเมิดอาจส่งผลถึงอนาคตของคู่แต่งงาน ลูกหลาน ไปจนถึงการล่มสลายของตระกูล ด้วยการให้เหตุผลเรื่องความไม่เหมาะสมอาจทำให้ผีบรรพบุรุษทำให้เกิดการเจ็บป่วยล้มตาย การสืบสายตระกูลหากหนุ่มสาวรับรู้ว่าอยู่ในตระกูลเดียวกันจะต้องเลิกร้างจากกัน โดยข้อห้ามที่เคร่งครัดนี้อาจอธิบายได้ว่าเป็นการป้องกันปัญหาภาวะเลือดชิด เนื่องจากประสบการณ์ที่เกิดในรุ่นลูกมีสุขภาพไม่แข็งแรง เจ็บป่วยง่าย
ในการแต่งงานในกลุ่มชาติพันธุ์ลัวะบ้านมืดหลอง เชียงใหม่ มีความเชื่อว่าญาติพี่น้องไม่สามารถแต่งงานกันได้ การสืบเชื้อสะมางจึงถูกนำมาเป็นข้อกำหนดในการเต่งการที่ไม่อนุญาติให้ผู้ที่อยู่ในเชื้อสายสะมางเดียวกันแต่งงานภายในหมู่บ้านเดียวกันได้ แต่สามารถแต่งงานกับคนกลุ่มอื่นได้ เพราะถือว่าสะมางกับสะมางถือเป็นญาติเดียวกันแต่งงานกันไม่ได้ การฝ่าฝืนแต่งงานกับเชื้อสายเดียวกันจะทำให้เกิดความยากลำบากในอนาคตอีกทั้งการไม่ยอมรับของคนในชุมชนเดียวกันในเครือญาติ และลูกที่เกิดมาอาจถูกรังเกียจ และป่วยไข้จากผีทำให้ป่วย เป็นต้น
การรับรู้ว่าเป็นเชื้อสายสะมาง เด็กจะรับรู้ด้วยตนเองเนื่องจากเลี้ยงผีตัวเดียวต้องเห็นหน้ากันทั้งบ้าน 25 หลังคาเรือน ทั้งนี้ เชื้อสายสะมางต่างหมู่บ้านยังสามารถแต่งงานกันได้ ส่วนชาวลัวะบ้านบ่อหลวง มีความเชื่อว่าตระกูลขุนแก้ว และสุนันตา เป็นตระกูลขุนที่ห้ามแต่งงานกันโดยเด็ดขาด หากผิดจารีตจะส่งผลให้ลูกที่เกิดมาผิดปกติ ส่วนการแต่งงานกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่น เช่น คนลัวะและคนเสี้ยม หมายถึง คนเมือง และคนไทย คนเสี้ยมจะต้องเลี้ยงผีตามครอบครัว
พิธีกรรมการแต่งงาน
การแต่งงานของหนุ่มสาวกลุ่มชาติพันธุ์ลัวะ เป็นเรื่องที่สร้างความยินดีให้แก่ครอบครัวและชุมชน หากหญิงชายรักใคร่ชอบพอกันจะแจ้งให้ญาติพี่น้องได้รับรู้ เพื่อทำการเจรจาสู่ขอ และเตรียมจัดพิธีกรรมต่อไป การแต่งงานถือเป็นการสร้างครอบครัวใหม่ ต้องบอกกล่าวให้ญาติพี่น้องเพื่อให้ยอมรับสมาชิกใหม่และร่วมแสดงความยินดี รวมทั้งการเลี้ยงเพื่อบอกกล่าวผีบรรพบุรุษให้รับรู้เพื่อคุ้มครองสมาชิกใหม่
การแต่งงานของกลุ่มชาติพันธุ์ลัวะเชียงใหม่ กรณีบ้านมืดหลองนั้น ฝ่ายชายต้องไปสู่ขอฝ่ายหญิง โดยพาผู้ใหญ่ฝ่ายชายจำนวน 2 คน ไปคุยกับผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงว่ากำหนดวันแต่งงานกัน พร้อมนำสร้อยไปมอบให้ฝ่ายหญิง เมื่อตกลงวันได้แล้วให้นำเงินเจียง เงินแถบไปสู่ขอตามจารีตที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด การเตรียมเงินค่าสินสอดเป็นสิ่งที่ถือปฏิบัติ แต่ฝ่ายหญิงจะไม่เรียกร้อง การให้สินสอดจึงขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของฝ่ายชาย เมื่อพูดคุยตกลงเรื่องการแต่งงานที่บ้านฝ่ายหญิงแล้ว ญาติผู้ใหญ่ฝ่ายชายที่ไปบ้านฝ่ายหญิงเพื่อสู่ขอต้องถามทางฝ่ายหญิงเกี่ยวกับข้าวของเครื่องใช้ที่ต้องเตรียมสำหรับพิธีแต่งงาน เช่น ฝ่ายหญิงแจ้งฝ่ายชายในการเตรียมเสื้อผ้า ถุงย่าม ผ้าขาวม้า
ก่อนจัดงานฝ่ายชายต้องเตรียมขันไปสมา (ขอขมา) ทางพี่น้องฝ่ายหญิง พร้อมเตรียมผ้าประเภทต่าง ๆ ตามที่ฝ่ายหญิงขอให้ครบทุกรายการนำมามอบให้ฝ่ายหญิงทั้งหมด และต้องนอนค้างที่บ้านผู้หญิง 1 คืน รุ่งเช้าพาตัวเจ้าสาวกลับมาเพื่อจัดงานที่บ้านฝ่ายชาย การแต่งงานของชาวลัวะเชียงใหม่เป็นการแต่งงานเข้าบ้านฝ่ายชาย พิธีเลี้ยงผีจัดขึ้นเมื่อฝ่ายหญิงอยู่ในเรือนครบ 1 สัปดาห์ เมื่อทำพิธีเลี้ยงผีเรือนจนครบทั้งหมดจะทำพิธีมัดมือ พร้อมบอกกล่าวว่าผู้หญิงคนนี้มาเป็นลูกสาว ให้ผีช่วยปกป้องคุ้มครองเหมือนสมาชิกในครอบครัว การเลี้ยงและบอกกล่าวผีต้องทำเพื่อให้อยู่ดีมีสุข หากไม่บอกกล่าวผีเรือนจะไม่รู้จักและไม่ปกปักรักษา
เช่นเดียวกับการแต่งงานของชาวลัวะที่บ้านบ่อหลวง จังหวัดเชียงใหม่ ที่แต่งงานเข้าบ้านฝ่ายชาย จึงต้องจัดเตรียมสินสอดตามจารีต ประกอบด้วยเงินแถบหรือเงินรูปีร้อยเป็นพวง เงินเจียง 1 อัน เป็นเครื่องประกอบพิธีกรรม ปัจจุบันหากไม่มีเงินเจียง ต้องไปยืมจากผู้ที่มีเพื่อนำมาประกอบในพิธีกรรม เมื่อทำพิธีแต่งงานแล้วเสร็จ จึงจะนำไปคืนให้เจ้าของ เนื่องจากเงินเจียงเป็นของหายากมีราคาสูง
ส่วนพิธีกรรมการเลี้ยงผีในงานแต่งงานของกลุ่มชาติพันธุ์ลัวะ บ้านเมืองก๊ะ หากเรือนหลังใดจัดงานแต่งงาน จะปิดเรือนเพื่อทำพิธีเลี้ยงผีลัวะในสายตระกูลของตนเอง ด้วยการนำเอาหมูรุ่นตัวเมียสีดำมาฆ่า โดยนำไม้แหลมแทงที่คอ แล้วนำมาโยงเซ่นผีที่หิ้งบนเรือนพร้อมข้าวตอกดอกไม้ เชื่อว่าผีจะกินของเลี้ยงประมาณ 30 นาที หรือประมาณเวลาที่ธูปไหม้หมดดอก ระหว่างพิธีกรรมเลี้ยงผี จะอนุญาตให้เข้าร่วมได้เฉพาะผู้ที่นับถือผีสายตระกูลเดียวกันเท่านั้น ส่วนคนภายนอก ต้องรอจนกระทั่งพิธีเลี้ยงผีเสร็จสิ้น หากฝ่าฝืนจะเกิดการผิดผี งานแต่งครั้งนั้นต้องถูกยกเลิกและต้องหาฤกษ์ยามใหม่อีกครั้ง ส่วนหมูที่เลี้ยงผีจะยกให้ผู้ผิดผีทั้งตัว ผู้ผิดผีงานแต่งงานต้องรับผิดชอบหาหมูตัวใหม่มาเลี้ยงผีในงานแต่งงานครั้งต่อไป เมื่อหมูได้ผ่านการเลี้ยงผีมาแล้วให้นำเอาหมูตัวนั้นไปประกอบอาหารเพื่อแบ่งปันกัน เช่น ลาบ แกง ย่าง และไส้อั่ว เป็นต้น
หลังจากทำพิธีเลี้ยงผีแล้วเสร็จ จะเป็นการมัดมือโดยเริ่มจากคนเฒ่าคนแก่ พ่อแม่ญาติพี่น้อง รวมถึงชาวบ้านที่เป็นคนนอกตระกูล และทำการส่งตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาว จากนั้นทุกคนจะแยกย้ายกลับบ้านถือเป็นเสร็จพิธี (ไพศาล ไทยใหม่ และนวล ดอยคำ, 2561: สัมภาษณ์)
การเลี้ยงผีด้วยหมูในพิธีแต่งงานของกลุ่มชาติพันธุ์ลัวะบ้านเมืองก๊ะ ถือว่ามีความแตกต่างจากการเลี้ยงผีด้วยหมูของคนเมือง (คนไท) การเลี้ยงหมูเป็นจารีตที่มีมาแต่เดิมว่า หากจะใส่ผีหรือเลี้ยงผีในพิธีแต่งงานต้องใช้หมูเท่านั้น เนื่องจากผีลัวะกินหมู จารีตและการปฏิบัติเช่นนี้สอดคล้องกับลัวะในหมู่บ้านอื่น เช่น ลัวะที่บ้านบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ และลัวะที่บ้านแปะ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้น
ในงานศึกษาของพิพัทธเวช สืบแสง และภูเบธ วีโรทัย (2531: 90 -91) ระบุว่า หากต้องการจำแนกความแตกต่างระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ลัวะกับคนไท สังเกตได้จากวัตถุดิบที่ใช้ในการเลี้ยงผี หากเป็นผีลัวะจะเลี้ยงด้วยหมู่ ส่วนผีไทจะเลี้ยงด้วยไก่ อย่างไรก็ตาม ในบางกรณีคนเมืองอาจมีการเลี้ยงผีด้วยหมู ซึ้งสะท้อนว่า บรรพบุรุษอาจเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ลัวะ
ส่วนกลุ่มชาติพันธุ์ลัวะเชียงใหม่ ในบ้านบ่อหลวง พิธีแต่งงานต้องเลี้ยงผีบ้าน ซึ่งต้องทำพิธีหมู่บ้านเลี้ยงหมูตามทุนทรัพย์ ก่อนเลี้ยงหมูจะต้องทำพิธีส่งบ้านส่งเมือง บอกทุกหลังคาเรือนให้รับทราบว่าจะมีสมาชิกใหม่เข้ามาอยู่ในหมู่บ้าน รวมทั้งต้องบอกแก่ผีโดยการเลี้ยงเหล้า 12 ขวด การแต่งงานของกลุ่มชาติพันธุ์ลัวะบ้านบ่อหลวง เจ้าบ่าวเจ้าสาวต้องนำเอาไก่ 1 ตัวสุรา 1 ขวด ไปมอบให้ญาติพี่น้องของเจ้าสาวให้ครบทุกหลังคาเรือน เจ้าของบ้านซึ่งเป็นญาติกับเจ้าสาวจะรับไหว้ด้วยการให้เงินราว 5 บาท 10 บาท ตามฐานะของตน ในปัจจุบันยังพบการปฏิบิเช่นนี้อยู่ โดยเงินรับไหว้อาจจะเพิ่มขึ้นตามความเหมาะสม (บุญช่วย ศรีสวัสดิ์, 2545 : 119-120)
จากนั้นจะเรียกญาติพี่น้องฝ่ายหญิงมาร่วมงาน ในช่วงเช้าเวลาประมาณ 8.00 น. ผู้อาวุโสของเต่ละฝ่ายจะทำการเจรจากัน ผู้อาวุโสฝ่ายชายคนหนึ่งเป็นตั้งข้าว นำสุนัขสีแดงมาทำพิธีเลี้ยงผี ตามจารีตการแต่งงานจะเลี้ยงสุนัขหนึ่งตัว เจ้าบ่าวต้องนำสุนัขสีแดงมอบให้บ้านเจ้าสาวเพื่อทำพิธีเลี้ยงที่บ้านเจ้าสาว จัดการฆ่าแล้วต้มเอาควักเครื่องในออกมา แล้วตัดชิ้นส่วนจากปาก หู จมูก หาง เท้าทั้ง 4 มาทีละเล็กละน้อยใส่แคะหรือถาดไม้ไผ่สานเพื่อเลี้ยงผีเรือน เป็นพิธีกรรมที่เกิดขึ้นของการแต่งงานที่ครอบคลุมทั้งการแต่งงานของผู้หญิงและผู้ชายชาวลัวะ หลังจากส่งบ้านส่งเมืองแล้วให้นัดเลี้ยงอีกครั้งภายใน 1-2 ปี เป็นการเลี้ยงบ้านเลี้ยงเมืองใช้เหล้า 5 ขวด ไก่ 5 ตัว
ในช่วงเวลาเที่ยง จะทำพิธีเลี้ยงหมู ไก่ แล้วทำต๊อกสะเบื๊อกสำหรับเลี้ยงผี ประกอบด้วย หมูต้มกับปลีใส่พริกเกลือ เมื่อปรุงเสร็จเรียบร้อยห้ามผู้ใดชิม ขนมเป็นขนมเขาควาย ขนมจ๊อก ขนมปาด เขาควายคือ ข้าวต้มหรือแหลมทั้งสองข้างเอาข้าวนึ่งเอาใบตองจากเอาใส่สวยจะแหลม 2 อัน เอาไปนึ่ง เป็นขนมที่สามารถกินได้ โดยขนมในพิธีกรรมเป็นสิ่งที่เพิ่มขึ้นจากอาหารประจำถิ่น เนื่องจากรับวัฒนธรรมของคนเมืองในพื้นที่ราบเข้ามา
ปัจจุบัน เมื่อสภาพสังคมและเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงไป ค่าใช้จ่ายในการจัดเลี้ยงตกเป็นหน้าที่ของฝ่ายหญิง เนื่องจากการแต่งงานถือเป็นการแต่งเขยเข้าบ้านมาเป็นแรงงานในครอบครัว แนวความคิดดังกล่าวได้รับอิทธิพลด้านการจัดงานแต่งงานจากคนพื้นราบมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงทศวรรษ 2550 เป็นต้นมา เมื่อลูกหลานในหมู่บ้านได้รับการศึกษาที่สูงขึ้น สามารถออกไปรับจ้างทำงานนอกหมู่บ้านมากขึ้น ทำให้มีโอกาสที่สูงขึ้นในการพบคู่ครองที่เป็นคนต่างวัฒนธรรม การจัดงานแต่งงานตามสมัยนิยมทำให้เกิดค่าใช้จ่ายในการจัดงานเลี้ยง และงานรื่นเริงที่ รวมถึงค่าใช้จ่ายประเภทเครื่องดื่มที่เพิ่มมากขึ้น ในขณะที่เหล้าต้มที่เป็นของดั้งเดิมในการจัดเลี้ยงได้รับความนิยมน้อยลง กลายเป็นเพียงเหล้าที่ใช้ในการประกอบพิธีกรรม แขกผู้มาร่วมงานส่วนใหญ่นิยมเครื่องดื่มที่มีขายตามท้องตลาดเช่นเดียวกับคนพื้นราบ
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านค่านิยมในการจัดงานแต่งงานและความเชื่อเรื่องระบบผัวเดียวเมียเดียวโดยไม่มีการหย่าร้าง ในปัจจุบัน การจัดงานแต่งงานของชาวลัวะ ทั้งเจ้าบ่าวเจ้าสาว พ่อแม่ทั้งสองฝ่าย รวมถึงญาติพี่น้องต้องแบ่งความรับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่ายในแต่ละด้านที่มากขึ้นอีกทั้งมีการหย่าร้าง และแต่งงานเป็นครั้งที่สองในหลายคู่
จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันสะท้อนให้เห็นผลกระทบที่ได้รับจากความเจริญทางเศรษฐกิจ การพัฒนาเส้นทางคมนาคม และช่องทางการรับรู้ข้อมูลข่าวสารหลากหลายรูปแบบที่เข้าสู่ชุมชน จนกระทั่งเกิดการเปลี่ยนแปลงต่อชุมชนชาติพันธุ์ ทั้งด้านความคิด ความเชื่อ ค่านิยม ตลอดจนการผสมผสานทางวัฒนธรรม ที่เกิดจากการแต่งงานข้ามชาติพันธุ์ที่ทำให้ผู้คนในชุมชนต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสังคมชาติพันธุ์ของตนเองมากขึ้น
ความตาย และการทำศพ
กลุ่มชาติพันธุ์ลัวะมีความเชื่อเกี่ยวกับผีบรรพบุรุษ ผีเรือน และผีเจ้าป่าเจ้าเขา ตลอดจนผีร้ายต่างๆ ซึ่งให้ทั้งคุณและโทษ ความเชื่อเรื่องผีทำให้ชาวลัวะมีความกลัวคนตาย กลัววิญญาณ ชาวลัวะจึงไม่นิยมเข้าร่วมการทำศพมากนัก เว้นแต่บุคคลที่เสียชีวิตจะเป็นญาติพี่น้อง หรือมีความใกล้ชิดสนิทสนมกัน ในอดีตหากมีคนเสียชีวิต บรรยากาศในหมู่บ้านจะเงียบเหงาและวังเวง โดยเฉพาะในช่วงกลางคืน หากเป็นการเสียชีวิตตามธรรมชาติจะเก็บศพไว้เพียงชั่วข้ามวันข้ามคืน คือ เสียชีวิตช่วงเช้าจะฝังตอนเย็น เสียชีวิตช่วงบ่ายจะฝังช่วงเช้าของอีกวัน ส่วนการเสียชีวิตที่ผิดปกติ เช่น ตายโหง จะทำการฝังภายในวันที่เสียชีวิต หากคนตายมีญาติพี่น้องจำนวนมากจะเก็บศพไว้นานแต่ไม่เกินระยะเวลา 2 วัน เนื่องจากไม่มีการฉีดยาศพ ทำให้ศพมีกลิ่น ในช่วงเวลาที่ตั้งศพ ญาติพี่น้อง เพื่อนบ้านจะมาร่วมไว้อาลัยและปลอบใจครอบครัวผู้เสียชีวิต พิธีกรรมเกี่ยวกับความตายของชาวลัวะ ประกอบด้วย พิธีกรรมการทำศพ พิธีกรรมการทำโลงศพ พิธีกรรมการโยนไข่เพื่อขุดหลุมฝังศพ พิธีกรรมการฝังศพ พิธีกรรมหลังจากฝังศพ และการเปลี่ยนแปลงพิธีการทำศพในปัจจุบัน โดยมีรายละเอียดดังนี้
พิธีศพของชาวลัวะบ้านมืดหลอง อำเภอแม่แจ่ม ที่กำหนดว่าเมื่อมีคนเสียชีวิตในหมู่บ้าน ทุกคนต้องหยุดงานเพื่อไปช่วยเหลือกันในงานศพ พิธีศพเริ่มทั้งในบ้านและนอกบ้าน ส่วนที่จัดในบ้านเกี่ยวกับศพ คือ การอาบน้ำศพ โดยผู้ทำพิธีอาบน้ำศพ เรียกว่า “เยือจ๊ะ” ในอดีตเป็นหญิงหรือชายที่เป็นญาติใกล้ชิดหรือเป็นลูกหลาน ทำหน้าที่ในการอาบน้ำศพ การสวมใส่เสื้อผ้าให้คนตายจะต้องแต่งตัวให้ดีงาม และใช้ผ้าจำนวนหนึ่งฝังไปกับศพ ประกอบด้วย ผ้าต่วน 2 ผืน ระบาย 3 ผืน ผ้าห่มแดง 1 ผืน ผ้าห่มขาว 1 ผืน ย่าม 7 ใบ ผ้าห่มที่ซื้อมาจากในเมือง 1 ผืน กางเกงสีขาวล้วน 1 ตัว เสื้อขาว 1 ตัว ผ้าแดงมัดหัว 1 ผืน หากผู้ตายเป็นผู้หญิงให้ใช้ผ้าซิ่น 3 ผืน เสื้อสีขาว 3 ผืน ผ้าขาวมัดหัว 1 ผืน เงินเจียงศพผู้หญิงใช้ 7 เม็ดฝังไปพร้อมกัน หากไม่มีครบตามจำนวนให้ใช้อย่างน้อย 3 เม็ด ส่วนผู้ชายใช้กระดุม 3 เม็ด เสร็จแล้วห่อที่ผ้าที่เตรียมไว้ทั้งผ้าห่ม ผ้าต่วน ห่อหมด ตั้งศพไว้ที่บ้าน 3 คืน ตั้งไว้ในเรือนบริเวณห้องครัวไฟ
การเก็บศพไว้ที่บ้าน พิจารณาตามฐานะ หากเป็นบุคคลที่มีฐานะดีจะเก็บศพไว้เป็นระยะเวลานานถึง 3 คืน หรือ 5 คืน เนื่องจากต้องใช้เวลาในการจัดหาวั ควาย สำหรับเลี้ยงแขก และญาติพี่น้องที่มาช่วยงานศพ เมื่อครบ 3 คืน หรือ 5 คืนแล้ว ให้นำศพไปฝัง โดยการแห่จากบ้านไปป่าช้า ใช้ไม้ไผ่แบกหาม ส่วนการเลือกที่ขุดหลุมฝังศพ นอกจากการเลือกพื้นที่ในเขตหมู่บ้านและฝังใกล้ญาติพี่น้อง ในการเลือกพื้นที่ฝังศพ คนอาวุโสในชุมชนจะ ให้ฝังผ้าพร้อมเงินทองของมีค่า ไปกับศพให้หมด ส่วนถ้วยจานจะวางข้างนอกหลุม นอกจากนี้ การนำหัวควาย หัววัวที่ใช้เลี้ยงปักไว้ที่ประตูป่าช้าเพื่อให้ผู้ตายนำไปใช้ในโลกหน้า
ส่วนการพิธีนอกบ้าน จะใช้ศาลา หรือ “หยู” ตั้งอยู่ใกล้เสาสะกางในการทำพิธีร่วมกันในหมู่บ้าน ด้วยความเชื่อว่าเมื่อตายแล้ว ก่อนจะไปอยู่ในที่ใหม่ วิญญาณของผู้ตายจะมาสิงอยู่ที่ “หยู” ดังนั้น ก่อนนำศพออกจากหมู่บ้านต้องบอกกล่าววิญญาณให้ตามศพไปป่าช้าเพื่อจะได้ไปดีไปอยู่ในที่ใหม่ ตามคำบอกเล่าของคนในหมู่บ้าน ในอดีตบริเวณโดยรอบ หยู จะมีบรรยากาศวังเวงเป็นป่าที่น่ากลัว ผู้คนไม่กล้าเดินผ่าน
ผู้เรียบเรียงข้อมูล
ฐิติวุฒิ บุญยวงศ์วิวัชร,สุวิภา จำปาวัลย์
กลวย ทองคำมากมี, นาง, บ้านห้วยรากไม้ ตำบลยางคราม อำเภอดอยหล่อ จังหวัดเชียงใหม่
ผู้เรียบเรียงข้อมูล
ฐิติวุฒิ บุญยวงศ์วิวัชร,สุวิภา จำปาวัลย์